การ ฟอกเงินหมายถึง การปรับเปลี่ยนเงินทองหรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย โดยตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่ เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงินแต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลาย
เศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
 
 

10. Semion Yudkovich Mogilevich

 
Semion Yudkovich Mogilevich(1946-ปัจจุบันอายุ 64 ปี) เขาเกิดในยูเครน ในชนชั้นกลางของชาวยิว อายุ 22 ปีเขาก็จบปริญญาเศรษฐศาสตร์ ก่อนที่จะก่ออาชญากรรมในปี 1975 และมีส่วนร่วมในการลักขโมยและฉ้อโกงหลายคดี จนกระทั้งเขาได้
 
กลาย เป็นมาเฟียรัสเซียที่มีวงเงินมากที่สุดในโลก จนได้ชื่อเล่นว่า “ดอนหัวใส(The Brainy Don)” เพราะความเฉียบแหลมในธุรกิจของเขา เขาสามารถทำธุรกิจน้ำมันหนีภาษี, ซุกหุ้น, ตลาดมืด ส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่รับจ้างฆ่าไปจนถึงค้าอาวุธเถื่อน
 
ตั้งแต่ ไม้จิ้มฟันไป จนถึงส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้เขายังมีอีกฉายาหนึ่งว่า “นักก่อการประท้วงที่อันตรายที่สุดในโลก” ที่อังกฤษห้ามให้เข้าประเทศด้วยเหตุผลคือ “เขาเป็นชายที่อันตรายที่สุดในโลก” จนทำให้เขาเคยติดอยู่ใน
 
บุคคล ที่โลกต้องการตัวมากที่สุด(ใน10 อันดับของเอฟบีไอ) เขาเคยถูกจับตัวหลายครั้ง แต่เพราะว่าเขาฉลาดทำให้ไม่มีใครเอาผิดเขาในกฎหมายได้ ทุกวันนี้เขาไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
 

9. Meyer Lansky

เม เยอร์(1902-1983)เป็นชาวยิวเชื้อ สายอเมริกัน เกิดในครอบครัวโปแลนด์ เขาวงการอาชญากรรมตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเรียนรู้กลโกงต่างๆ จนได้รับฉายาว่า “นักบัญชีแห่งความวุ่นวาย(Mob's Accountant)” ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าพ่อฟอกเงินสมัย ใหม่ ในทศวรรษที่ 1930 เขาเป็นคนแรกในทะเลคาริเบียนที่ซ่อนเงินทางอาชญากรรมโดยการฟอกเงินผ่านคาสิ โนในลาสเวกัสก่อนที่จะย้ายไปคิวบาซึ่งเขาดูแลการสัมปทานการพนันที่นั้น ทั้งชีวิตของเขามีเงินนับไม่ถ้วนในธนาคารสวิสและบริษัท ในฮ่องกง, อิสราเอลและอเมริกาใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์ช่องว่างจากฎหมาย รวมถึงการยืดหยุ่นจากรัฐบาลเจ้าหน้าที่ข้าราชการและมาเฟียอิตาลี และเขาก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น เอฟบีไอพยายามนำตัวเขามาเพื่อ รับโทษตามกฎหมายโดยเชื่อว่าเขาซุกเงินกว่า 300 ล้านเหรียญไว้ในธนาคารเงินฝากหากแต่พวกเขาไม่เคยพบจำนวนเงินดังกล่าวเลย เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ หลายเรื่อง ล่าสุดคือ The Lost City (2005)

8. Al Capone

อัล คาโปน(1899-1947) เขาเป็นนักธุรกิจและหัวหน้ามาเฟียอันธพาลแห่งชิคาโกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ กล้าแตะต้อง อดีตเขาเคยเป็นช่างตัดผลในครอบครัวชาวอิตาลีอพยพ เขาเลิกเรียนหนังสือแล้วเข้ามาอยู่ในวงจรอาชญากรรม ก่อนที่จะไต่เต้ามา เป็นมาเฟียอย่างเต็มตัว เขามีประวัติอาชญากรรมหนากว่าพันหน้าแต่ก็ไม่ใครใครเอาผิดเขาได้ โดยเฉพาะการฟอกเงินจากงานผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการค้าเหล้าเถื่อน โสเภณี การพนัน จนกระทั้งเขาถูกจำคุกเจ็ดปีในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีและถูก ส่งตัวไปขังคุกในอัล คาทราช เป็นอันสิ้นสุดยุคของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในช่วงปั่นปลายเขาป่วยเป็นโรคซิลิสและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1947

7. Sani Abacha

นาย พล สานิ อาบาชา(1943-1998) เป็นผู้นำทางการทหารและนักการเมืองของไนจีเรียในปี 1993 ด้วยระบบการปกครองเผด็จการอันฉาวโฉ่ของเขาในช่วง 5 ปี(1993-1998) เขาและครอบครัวได้สูบเงินจากเงินกองทุนของประเทศกว่า 3 ล้านปอนด์ จนได้รับการจดบันทึกว่าเป็นผู้นำที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก(อันดับ 4) โดยเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชน โกงน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในประเทศ อย่างไรก็ตามเขาตายด้วยโรคหัวใจวายในปี1998 รวมอายุ 54 ปี และ ถูกฝังทันทีโดยไม่ต้องชันสูตรใดๆ (ตามกฎมุสลิม)ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าเขาได้รับพิษ รู้ไปก็เท่านั้น ทำไมต้องธนาคารสวิส ทำไมธนาคารสวิสจึงเป็นแหล่งฝากเงินของผู้มีอำนาจในหลายประเทศ ที่มักนำเงินมาฟออกและฝากธนาคารแห่งนี้ลับๆ สาเหตุเนื่องมาจากธนาคารสวิส ในนครซูริกนั้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นที่ตั้งของธนาคารนานาชาติ มีธนาคารใหญ่ห้าอันดับแรกของประเทศ และมีธนาคารที่นั่นมีชื่อเสียงในการเก็บความลับ ยากที่จะทำให้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือแม้แต่ รัฐบาลต่างประเทศตรวจสอบได้ ยกเว้นถ้ามีหมายศาลของตรวจสอบบัญชี

6. Sese Seko Mobutu

โม บูตู เซเซ เซโก (1930-1997) ได้สถาปนาการปกครองระบอบเผด็จการภายใต้ชื่อสาธารณรัฐคองโกที่ 2 เขาปกครองคองโก(หรือเรียกว่าซาอีร์ตั้งแต่ 1965-1997 เขาถือกำเนิดจากแม่ที่หนีมาจากการถูกทำหญิงในฮาเร็มของหัวหน้าหมู่บ้านท้อง ถิ่น แล้วมาทำงานในบ้านผู้พิพากษาชาวเบลเยียม และภรรยาของผู้พิพากษาชอบเขาเลยได้สอนเขาพูดและอ่านจนคล่องแคล่วและได้รับ การศึกษา เขานำความรู้นี้มาใช้กับการเมืองคองโกจัดตั้งกองทหาร และมันก็ได้ทำให้เขาสามารถยึดอำนาจจากรัฐ ประหารได้ในปี 1965 แต่กระนั้นเมื่อผู้นำประเทศแล้วเขากลับห้ามวัฒนธรรมตะวันตก เขายกเลิกเครื่องแต่งกายที่เป็นตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตกต่างๆ เขาเปลี่ยนธงของคองโกใหม่ และตั้งกฎหลายอย่างเพื่อทำลายศัตรูการเมืองของเขา นอก จากนั้นเขายังฟอกเงินจนติดอันดับบุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับสาม เป็นเงินกว่า 5000000000 ดอลลาร์ และเงินดังกล่าวไม่ได้รับกลับคืน ท่ามกลางประเทศที่ยากจนข้นแค้นเขากลับไปช้อปปิ้งที่ปารีสกับครอบครัว เขาตายจากการถูกเนรเทศใน โมร็อกโกในปี 1997

5. Leopold II of Belgium

สมเด็จ พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ของเบลเยียม ในช่วง 1865-1909 ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาล เขาได้สร้างรัฐอิสระคองโก มาครอบครองเป็นส่วนบุคคล ในปี 1885 พระองค์ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชและผู้มีบุญคุณมาปกครอง ประเทศเขาปิดพรมแดนทั้ง หมดเพื่อควบคุมตัวบุคคลและธุริกจทั้งหมดในประเทศ และทำให้ประเทศเป็นตลอดค้าแรงงานทาสที่โหดร้ายที่สุดในโลก เขาทำกำไรมหาศาลจาก ยางและงาช้างในภูมิภาคแอฟริกา(ในปี 1890 คองโกเป็นผู้จำหน่ายยางที่ ใหญ่ที่สุดในโลก) เขาถือหุ้นหลายบริษัทและนำเงินมาพัฒนาประเทศเบลเยี่ยม ในขณะที่ ชาวคองโกเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคนเพราะทำงานหนักจนตาย จนกระทั้งในปี 1907 พระองค์ได้ถูกบังคับให้สละการควบคุมประเทศให้แก่รัฐบาลเบลเยี่ยม แต่สำหรับคองโกนั้นพวกเขากลับได้รับผลเสียที่ยากจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้จน ถึงปัจจุบันเพราะจำนวนเงินที่เสียหายให้แก่สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 มีมูลค่า เท่ากับ ค่าGNP ของคองโกปัจจุบันสำหรับ 22 ปีขึ้นไป

4. Dawood Ibrahim

Dawood Ibrahim (1955-??) เขาเป็นชาวอินเดียและผู้นำองค์กรอาชญากรรม “บริษัท D” เขาเป็นจอมวายร้ายที่ตำรวจสากลและอินเดียต้องการตัวมากที่สุด เขามีส่วนร่วมการก่ออาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นค้ายาเสพย์ติด รับจ้างฆ่าที่ส่วนใหญ่มัก ดำเนินการในอินเดีย นอกจากนี้เขายังมีข้อหาการก่อการร้ายที่วางระเบิดบอมเบย์ ในปี 1993, และการปลอมแปลง ฯลฯ นอกจากจะร่วมมือองค์กรอัลกออิดะห์แล้วเขายังมีพี่น้องที่เป็นมาเฟียอยู่ทั่ว โลก ทุกวันนี้เขาได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่แพร่ ระบาดใน มาเลเซีย, สิงคโปร์. ไทย. ศรีลังกา, เนปาล, ดูไบ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และหลายประเทศในแอฟริกา เขาติดอันดับ 10 บุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด หากแต่ปัจจุบันยังไม่สามารถจับตัวเขาได้และไม่รู้เขาอยู่อยู่ที่ไหนแต่หลาย คนเชื่อว่า เขาตายเพราะโรคหัวใจในขณะที่บางคนเชื่อเขายังมีชีวิตอยู่แถว ปากีสถาน

3. Ferdinand Marcos

เฟอร์ดิ นานท์ มาร์กอส(1917-1989) อดีตทนายความที่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 31 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ.1965-1986 เขาเป็นประธานาธิบดีรูปหล่อ ฉลาดและเป็นนักวางแผนทำการคอรัปชั่นมาก มายอย่างยากจับได้ยาก เขาใช้ความเป็นนักกฎหมาย ใช้อำนาจและช่องโว่ในรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง สร้างสถานการณ์ ประกาศกฎอัยการศึก คุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ จำกัดสิทธิสื่อสารมวลชน สถาปนาตนเองมีอำนาจสูงสุด สังหาร ศัตรูทางการเมือง ทำให้ประชาชนในประเทศเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ด้วยโครงการต่างๆ เอาผลประโยชน์ให้เพื่อนพ้องตระกูลมาร์กอสและบริวารผูกขาดอำนาจทั้งทางการ เมืองและเศรษฐกิจ มั่งคั่งร่ำรวย ส่งผลทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ตกต่ำจน ยากที่จะกลับมาแก้ไขได้ดั่งเดิมจนถึง ปัจจุบัน นอกจากนี้เขายังฟอกเงินโดยซักรีดเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ผ่านกองทุนสาธารณะ แล้วไปฝากที่สวิสและประเทศอื่นๆ ผลสุดท้ายเขาก็พ้นจากตำแหน่งโดยการหลบหนีออกนอกประเทศ หลังการลุกฮือ ของประชาชน เขาเสียชีวิตขณะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทางการฟิลิปปินส์พยายามที่จะอายัดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาร์กอส และดำเนินคดีในข้อหาใช้อิทธิพลคอรัปชั่น ในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ (ถ้าจำไม่ผิดเขาติดอยู่ ในอันดับ 2 บุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมอันดับ 2 ของโลก) จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

2. Pablo Escobar

พา โบล เอสโคบาร์(1949-1993) เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบียและของโลก ที่ผูกขาดการซื้อขายโคเคนถึง 80%ในโลก และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์ ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 9,000,000,000 ดอลลาร์ เป็นคนที่ทำผิดทางอาญาที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่ามีในประวัติศาสตร์ เขารวยมากชนิดที่เรียกว่าที่บ้านของเขานั้นมีรถหรูมากมาย ใช้คลังสินค้าเก็บเงิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผาเงิน 2 ล้านดอลลาร์เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นที่เท้าตอนทำ งาน แต่เชื่อหรือไม่ว่าอดีตของพาโบลนั้น เขาเกิดในบ้านที่เป็นกระท่อม ไม่มีทั้งน้ำและไฟใช้ เขามีนิสัยเกเรชอบแกล้งคนอื่นในโรงเรียน แถมโดนจับข้อหาขโมยเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระโจมเข้าสู่วงการอาชญากรรม เข้าส่งการขายโคเคน โดยเขา ได้ลักลอบโคเคนไปขายสหรัฐ และมันก็ได้ทำเงินแก่เขาอย่างมหาศาลเอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของ ชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว เขามักปรากฏตัวอย่างมีเอกลักษณ์ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้าง โรงเรียนและให้อาหาร หากแต่ในขณะเดียวกันเขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพ ของเขาหนุนหลังอยู่ เขาก็จบชีวิตตนเองลงอยากการปราบปรามของพวกคอมมานโดที่บุกพักกบดาลแล้วฆ่าเขา และลูกน้อง เมื่อวันที่ วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993 จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

1. Suharto

ซู ฮาร์โต้ (ค.ศ.1921 – 2008) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา 31 ปี เขามีบทบาทสำคัญทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 1965 โดยการใช้นโยบายปราบปรามกอง กำลังคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีรุนแรง หลังจากมีความพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ แต่กระนั้นเขาก็สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียในระหว่าง ปี 1967-1998 เวลายาวนานถึง 32 ปี ในช่วงแรกที่เขาดำรงตำแหน่งเขาได้รับ สมญาว่าเป็น "บิดาแห่งการพัฒนาประเทศ" ในยุค 1990" เพราะเขาทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับฉายาว่า "แก๊งค์มาเฟียเบิร์กลีย์" ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลของซูฮาร์โตที่ส่วนใหญ่เป็น ครอบครัวและญาติได้ ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมดส่งผลทำให้เขาและครอบครัวร่ำรวยขึ้นในขณะที่ ประชาชนในประเทศจนลง อีกทั้งเขาได้กล่าวหาว่าเขาคือผู้ทุจริตคอรัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในอินโดฯ และของโลกในเวลาเดียวกัน เขาติด อันดับหนึ่งในผู้นำทำให้ชาติล่มจมที่สุดในโลก โดยนิตยสารไทม์เชื่อว่าเขามีเงินที่ถูกซักฟอกในครอบครัวและธนาคารต่างประเทศ มากกว่า 15,000,000,000 สหรัฐเช่นเดียวกับการใช้ตำแหน่งผู้นำทางการทหารออกนโยบายรุนแรงเพื่อปราบ ปรามผู้ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลซูฮาร์โต ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์, นักหนังสือพิมพ์ และนักวิชาการหลายรายที่เสียชีวิตและสูญหายไปในช่วงเวลาที่ซูฮาร์โตเรือง อำนาจ และการใช้กำลังทหารเข้าสู้รบเพื่อปราบ ปรามกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอีสต์ติมอร์ ก็มีส่วนทำให้ยุคของซูฮาร์โตถูกเรียกว่า "ยุคแห่งความหวาดกลัว" ของชาวอินโดนีเซีย ตลอดระยะเวลา 32 ปีในฐานะผู้นำประเทศ ซูฮาร์โตได้รับการสนับสนุนด้วยดี จนกระทั่งปี 1998 หลังจากที่เกิดภาวะ วิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ซูฮาร์โตลาออกจากตำแหน่ง พร้อมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการทหารอีก หลังจากซูฮาร์โตลงจากตำแหน่ง มีความพยายามจะนำตัวซูฮาร์โตและผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินการในชั้นศาล เนื่องจากมีผู้กล่าวหา ว่าเขาคือผู้ออกคำสั่งให้ฆ่าและลักพาตัวผู้คนจำนวนมาก ให้สูญหายไป ในยุคที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ศาลอนุโลมให้ซูฮาร์โตไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อรับการพิจารณาคดี เนื่องจาก "สุขภาพไม่แข็งแรง" ผลสุดท้ายซูฮาร์โต้ก็เสียชีวิตด้วยหัวใจล้ม เหลว เมื่อปี 2008 ที่โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตา โดยปราศจากความผิดใดๆ ทั้งสิ้น จำนวนเงินที่ซักฟอก : US$15- US$35 billion.

Leave a Reply

Subscribe to Posts | Subscribe to Comments

หน้าเว็บ

เรื่องราวย้อนหลัง

บทความ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

- Copyright © 2013 http://12345ohho.blogspot.com.Metrominimalist- Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -