FREE APP 5 อันดับฮิต ประจำวันที่ 29-30 มิถุนายน 2556

## อันดับที่ 1 Video 2 Photo ##
#FreeApp อันดับที่ 1 Video 2 Photo
#Developer Francis Bonnin
#Price iOS Universal1.99$ --> FREE
#Price iOS Universal
#Genre Video & Photo
#Size 10.2 MB
#iTunes Rating ★★★★★ (5/5)
# FREE For a Short Time!
#FreeApp อันดับที่ 2 Sprinkle: Water splashing fire fighting fun!
#Developer AMT Games
#Price iOS Universal1.99$ --> FREE
#Price iOS Universal
#Genre Game
#Size 22.4 MB
#iTunes Rating ★★★★☆ (4.5/5)
#Winner of Best Casual Game in the 2012 International Mobile Gaming Awards!
#FreeApp อันดับที่ 3 VS. Racing 2
#Developer Maciek Drejak Labs
#Price iOS Universal0.99$ --> FREE
#Price iOS Universal
#Genre Game
#Size 37.6 MB
#FreeApp อันดับที่ 4 Google Earth
#Developer Google, Inc.
#Price iOS Universal --> FREE
#Price iOS Universal --> FREE
#Genre Travel
#Size 29.2 MB
#FreeApp อันดับที่ 5 TubePlus for YouTube Client
#Developer meiling chen
#Price iOS Universal2.99$ --> FREE
#Price iOS Universal
#Genre Lifestyle
#Size 9.2 MB
10 อันดับ แมตช์คู่รักคู่แค้นแห่งวงการลูกหนัง
ในโลกของฟุตบอลการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน เป็นเรื่องปกติ แต่จะมีคู่แข่งที่มักจะโคจรมาห้ำหั่นแย่งแชมป์กันอยู่บ่อยๆ จนหลายคนมองว่า เป็นทีมคู่อริคอยเตะตัดขาไม่ให้อีกทีมคว้าความสำเร็จมาครอบครองได้ ดังนั้นจึงมีการจัด 10 อันดับ ดาร์บี้แมตช์ที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันตลอดเวลาที่เมื่อลงสนามปะทะกันเมื่อใด มักจะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยอีโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นความสนุก, ความตื่นเต้น, อารมณ์ที่เดือดระอุ และความบ้าคลั่ง รวมถึงมีเรื่องราวความขัดแย้งของทั้งสองทีมทั้งในและนอกสนามร่วมอยู่ด้วย
1. บาร์เซโลน่า - เรอัล มาดริด
หากพูดถึงถึงศึก ลา ลีกา ลีกสเปน สองสโมสรขั้วอำนาจที่ผลัดกันขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ คงจะมีแค่ ''เจ้าบุญทุ่ม'' บาร์เซโลน่า และ ''ราชันชุดขาว'' เรอัล มาดริด เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 ทีม ต่างเกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งของกันและกันอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องของการเมือง ที่ยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลันคิดเสมอว่าพวกเขาเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับสเปน ดังนั้นการเจอกันของทั้งสองทีมจึงมีความบาดหมางกันในหลายๆ ด้าน
นอกจากนี้ทั้งสองทีมยังเป็นสโมสรที่ร่ำรวยและมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน ความสำเร็จในลีกแดนกระทิงดุแทบจะถูกผูกขาดอยู่แค่สองทีมนี้เท่านั้น รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรป ที่ทั้ง มาดริดและบาร์ซ่า มักทำผลงานได้ดีอยู่เสมอ
ส่วนในเรื่องนักเตะของทั้งสองทีม ต่างก็คับคั่งไปด้วยซูเปอร์สตาร์ โดยทางฝั่งบาร์ซ่านำโดย เจ้าของรางวัล บัลลง ดอร์ 3 สมัยอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ และทางฝั่ง''ราชันชุดขาว''มีตัวชูโรงอย่างนักเตะมหัศจรรย์ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งปัจจุบันทั้งโรนัลโด้และเมสซี่ ต่างถูกนำมาเปรียบเทียบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่าใครกันแน่เป็นนักเตะเบอร์หนึ่งโลก และจากการพบกันครั้งล่าสุดของทั้งสองทีม จบลงด้วยผลเสมอกัน 2-2 โรนัลโด้และเมสซี่ทำไปคนละ 2ประตู ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ยากที่จะตัดสินให้ใครเหนือกว่าใคร
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าทั้ง 2 ทีมจะลงฟาดแข้งกันไม่ว่าสถานที่ หรือเวลาใด รูปเกมมักจะสนุกตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ รวมถึงนอกสนามที่มักจะมีวลีแสบๆ คันๆ จากทาง โชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชของ ''ราชันชุดขาว'' ออกมาเหน็บแนม ให้ได้เห็นอยู่บ่อยๆ และเราคงได้เห็นทั้งสองทีมต่อสู้แย่งชิงความเป็นสำเร็จทั้งในลาลีกา และในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปอีกยาวนาน
2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ศึกดาร์บี้แมตช์ แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องติดอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้อย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ทั้ง 2 ทีม โคจรมาพบกัน มักจะมีเรื่องให้พูดถึงอยู่เสมอทั้งในและนอกสนามที่ร้อนระอุไม่แพ้กัน ''เรือใบสีฟ้า'' แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาอย่างต่อเนื่อง โดยทีม ''ปีศาจแดง'' กวาดแชมป์เป็นว่าเล่นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แต่หลังจากการเข้ามาของ ชีค มันซูร์ อัล นาห์ยาน เจ้าของทีม เรือใบสีฟ้า คนปัจจุบัน ได้ใช้เม็ดเงินกว้านซื้อสตาร์ดังมากมายเพื่อยกระดับของทีม ภายใต้การกุมบังเหียนของ โรแบร์โต้ มันชินี่ จึงทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาท้าชิงความยิ่งใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างเต็มตัว พิสูจณ์ได้จากตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษสมัยล่าสุด
และล่าสุดที่ทั้ง สองทีมพบกันเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา รูปเกมเป็นไปอย่างสูสี แต่สุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 3-2 จากประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้ทีม ''ปีศาจแดง'' ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แซงหน้าทีมเรือใบไปหน้าตาเฉย ยิ่งเป็นเติมไฟแค้นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เฝ้ารอวันเอาคืน
3. กลาสโกว์ เซลติก - กลาสโกว์ เรนเจอร์ส
ในสกอตแลนด์ มีดาร์บี้แมตช์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปได้แก่ ''โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้แมตช์'' ระหว่าง กลาสโกว์ เซลติก และ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เมื่อใดที่ลงสนามปะทะกัน มักจะดุเดือดเลือดพล่านกันทั้งนักเตะและกองเชียร์ เนื่องด้วยทั้งคู่ต่างเป็นคู่แข่งในการแย่งแชมป์ลีกกันมาอย่างยาวนาน และยังมีความขัดแย้งในเรื่องของศาสนาระหว่างทั้ง 2ทีม และถึงแม้ตอนนี้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส จะถูกโหวตให้ออกจากการแข่งขัน สกอตติช พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลปัจจุบัน จากปัญหาทางด้านการเงินของสโมสร แต่เชื่อเถอะว่า หากทั้ง 2 ทีมได้โคจรมาพบกันอีก ''โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้แมตช์'' จะร้อนระอุ เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน
4. ลิเวอร์พูล - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ศึกแดงเดือด ต้องถูกจัดเข้ามาอยู่ในทำเนียบคู่รักคู้แค้นอย่างไม่ต้องสงสัย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน อาจมีบ้างที่ออกอาการเป๋ พลาดแชมป์ไปในบางฤดูกาล แต่พวกเขาก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้ในปีต่อมา ต่างกับลิเวอร์พูล ที่มาตรฐานตกลงไปมากจากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นทีม ''เครื่องจักรสีแดง'' เมื่อยุค 90 ที่ผ่านมา ถึงแม้จะคว้าแชมป์บอลถ้วยได้บ้าง แต่กับแชมป์ลีกที่พวกเขาปรารถนาไม่สามารถคว้ามาครองได้เลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปแล้วกี่คนต่อกี่คน หลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกได้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990 หรือกว่า 22 ปีมาเเล้ว
แม้ลิเวอร์พูลอาจไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีต แต่หากทั้งสองทีมมีโอกาสโคจรมาพบกันเมื่อใด มักจะเป็นแมตช์ที่แฟนบอลทั่วโลกเฝ้าจับตาดู เพราะทั้งสองทีมต่างเป็นสโมสรที่มีแฟนบอลติดตามอย่างเหนียวเเน่น และเมื่อลงสนามปะทะกันเมื่อใด มักจะเป็นเกมที่ตื่นเต้นเร้าใจและมีเหตุการณ์ต่างๆ ให้พูดถึงตามมาเสมอ เช่น กรณีเหยียดผิวระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ กับ ปาทริซ เอวร่า เป็นต้น
5. อาแจ็กซ์ - เฟเยนูร์ด
ฟุตบอล เอเรดิวิชี่ ลีก ฮอลแลนด์ นั้นก็มีสโมสรคู่รักคู่แค้น ที่ต่างแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันในอดีต อาแจ็กซ์กับเฟเยนูร์ด สองทีมยักษ์ใหญ่ของลีกดัตช์ ซึ่งต่างเคยเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มาแล้วทั้งสองทีม อาแจ็กซ์ คว้าไป 3 สมัย ส่วน เฟเยนูร์ดคว้าไปได้ 1 สมัย ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้ง 2 ทีม ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกัน และถึงแม้ช่วงหลังผลงานของเฟเยนูร์ดจะดร็อปลงไปบ้าง แต่หากได้ลงสนามพบกันเมื่อไหร่มักเป็นเกมที่ตื่นเต้นเร้าใจเสมอ
6. เฟเนร์บาห์เช่ - กาลาตาซาราย
ความแค้นระหว่างทั้งสองสโมสร เกิดจากความขัดแย้งของแฟนบอลทั้งสองทีมที่ไม่ค่อยจะถูกขี้หน้ากันเท่าไหร่นัก โดยแฟนบอลมักจะแสดงเยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง เมื่อทีมของตนเองได้รับชัยชนะหรือประสบความสำเร็จ และเมื่อทั้งสองทีมต้องพบกันเมื่อใด มักจะมีเหตุการณวุ่นวายทั้งในและนอกสนาม เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ศึกในสนามดุเดือดแค่ไหน นอกสนามแฟนบอลก็ดุเดือดไม่แพ้กัน
7. โบคา จูเนียร์ - ริเวอร์ เพลท
ที่อาร์เจนตินา ทั้ง ริเวอร์ เพลท และ โบคา จูเนียร์ส ต่างเป็นทีมยักษ์ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ริเวอร์ เพลท ถูกมองว่าเป็นสโมสรที่มีชื่อชั้นสำหรับคนมีฐานะ แต่กับ โบคา จูเนียร์ส แล้วมันตรงกันข้าม เพราะแฟนบอลส่วนใหญ่ของสโมสรเป็นพวกชนชั้นแรงงาน แต่พวกเขาก็สนับสนุนทีมอย่างเหนียวแน่น จึงอาจเป็นสาเหตุของการเป็นอริของทั้งสองสโมสร
8. ลาซิโอ - โรม่า
ดาร์บี้แมตช์ที่ดุเดือดแห่งกรุงโรม ทั้งโรม่า และลาซิโอต่างเป็นทีมใหญ่ สองเสืออยู่ถ้ำเดียวกันคงจะยาก การพบกันของทั้งสองทีมมักจะสนุกเข้มข้นทุกครั้งไป บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นใบเหลืองใบแดงว่อนสนามกันเลยทีเดียว ด้านแฟนบอลของทั้งสองทีมก็ไม่แพ้กัน หลังจบดาร์บี้แมตช์เกือบทุกครั้งมักจะมีจราจลเล็กๆ เกิดขึ้นเสมอ จึงทำให้ดาร์บี้แห่งกรุงโรม ถูกมองว่าเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นและมีความรุนแรงมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว
9. อาร์เซน่อล - ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ทั้ง 2 สโมสรอยู่ในกรุงลอนดอน นับเป็นเพื่อนร่วมเมืองที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันเท่าไหร่นัก ''ปืนใหญ่'' อาร์เซน่อล อาจจะประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมมากกว่า แต่เมื่อใดที่พบกับสเปอร์ส แทบไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงลอนดอนของทั้งสองทีมนั้น มักจะฟาดแข้งกันได้อย่างสนุกเร้าใจ ต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครเป็นมาแบบนี้ทุกครั้งไป
สำหรับชนวนที่ทำให้ความเกลียดชังของทั้งสองทีม คงหนีไม่พ้นเรื่องของ โซล แคมป์เบลล์ เมื่อครั้งยังเป็นดาวรุ่งอยู่กับ ''ทีมไก่เดือยทอง'' แต่ปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสร แล้วย้ายไปร่วมทัพ ''เดอะ กันเนอร์ส'' โดยไร้ค่าตัว จึงทำให้แฟนบอลของสเปอร์สเกลียดชังในตัว บิ๊กโซล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นในยุคปัจจุบันความแค้นยิ่งทวีขึ้นเมื่อ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ เลือกที่จะย้ายออกจากทีม ''ปืนใหญ่'' ไปอยู่กับในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน อีกด้วย
10. ไกเซอร์ ชีฟส์ - ออร์แลนโด ไพเรตส์
ต้นเหตุแห่งความขัดแย้งของ สองทีมใหญ่แห่งแอฟริกาใต้ เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 เมื่อ นายไกเซอร์ โมแตง ซึ่งตอนนั้นเป็นกำลังหลักและเป็นแกนนำในการก่อตั้งทีมออร์แลนโด ไพเรตส์ ได้ตัดสินใจทิ้งทีมไปเล่นฟุตบอลลีกอาชีพในอเมริกาเหนือ กับทีมแอตแลนตา ชีฟส์ ต่อมาเขาได้กลับมายังแอฟริกาใต้ และพบว่าอดีตทีมของเขาอย่าง ออร์แลนโด ไพเรตส์ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่แฟนบอล จึงทำให้ นายไกเซอร์ โมแตง ตัดสินใจสร้างทีมใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า ไกเซอร์ XI ก่อนที่ต่อมา ทีมได้เล่นในลีกอาชีพจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ไกเซอร์ ชีฟส์ ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้ง สองทีมโคจรมาพบกันเมื่อไหร่ อารมณ์ร่วมของทั้งนักเตะและแฟนบอลมักจะมาแบบจัดเต็มเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.siamsport.co.th
1. บาร์เซโลน่า - เรอัล มาดริด
หากพูดถึงถึงศึก ลา ลีกา ลีกสเปน สองสโมสรขั้วอำนาจที่ผลัดกันขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ คงจะมีแค่ ''เจ้าบุญทุ่ม'' บาร์เซโลน่า และ ''ราชันชุดขาว'' เรอัล มาดริด เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 ทีม ต่างเกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งของกันและกันอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องของการเมือง ที่ยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลันคิดเสมอว่าพวกเขาเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับสเปน ดังนั้นการเจอกันของทั้งสองทีมจึงมีความบาดหมางกันในหลายๆ ด้าน
นอกจากนี้ทั้งสองทีมยังเป็นสโมสรที่ร่ำรวยและมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน ความสำเร็จในลีกแดนกระทิงดุแทบจะถูกผูกขาดอยู่แค่สองทีมนี้เท่านั้น รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรป ที่ทั้ง มาดริดและบาร์ซ่า มักทำผลงานได้ดีอยู่เสมอ
ส่วนในเรื่องนักเตะของทั้งสองทีม ต่างก็คับคั่งไปด้วยซูเปอร์สตาร์ โดยทางฝั่งบาร์ซ่านำโดย เจ้าของรางวัล บัลลง ดอร์ 3 สมัยอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ และทางฝั่ง''ราชันชุดขาว''มีตัวชูโรงอย่างนักเตะมหัศจรรย์ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งปัจจุบันทั้งโรนัลโด้และเมสซี่ ต่างถูกนำมาเปรียบเทียบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่าใครกันแน่เป็นนักเตะเบอร์หนึ่งโลก และจากการพบกันครั้งล่าสุดของทั้งสองทีม จบลงด้วยผลเสมอกัน 2-2 โรนัลโด้และเมสซี่ทำไปคนละ 2ประตู ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ยากที่จะตัดสินให้ใครเหนือกว่าใคร
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าทั้ง 2 ทีมจะลงฟาดแข้งกันไม่ว่าสถานที่ หรือเวลาใด รูปเกมมักจะสนุกตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ รวมถึงนอกสนามที่มักจะมีวลีแสบๆ คันๆ จากทาง โชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชของ ''ราชันชุดขาว'' ออกมาเหน็บแนม ให้ได้เห็นอยู่บ่อยๆ และเราคงได้เห็นทั้งสองทีมต่อสู้แย่งชิงความเป็นสำเร็จทั้งในลาลีกา และในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปอีกยาวนาน
2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ศึกดาร์บี้แมตช์ แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องติดอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้อย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ทั้ง 2 ทีม โคจรมาพบกัน มักจะมีเรื่องให้พูดถึงอยู่เสมอทั้งในและนอกสนามที่ร้อนระอุไม่แพ้กัน ''เรือใบสีฟ้า'' แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาอย่างต่อเนื่อง โดยทีม ''ปีศาจแดง'' กวาดแชมป์เป็นว่าเล่นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แต่หลังจากการเข้ามาของ ชีค มันซูร์ อัล นาห์ยาน เจ้าของทีม เรือใบสีฟ้า คนปัจจุบัน ได้ใช้เม็ดเงินกว้านซื้อสตาร์ดังมากมายเพื่อยกระดับของทีม ภายใต้การกุมบังเหียนของ โรแบร์โต้ มันชินี่ จึงทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาท้าชิงความยิ่งใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างเต็มตัว พิสูจณ์ได้จากตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษสมัยล่าสุด
และล่าสุดที่ทั้ง สองทีมพบกันเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา รูปเกมเป็นไปอย่างสูสี แต่สุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 3-2 จากประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้ทีม ''ปีศาจแดง'' ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แซงหน้าทีมเรือใบไปหน้าตาเฉย ยิ่งเป็นเติมไฟแค้นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เฝ้ารอวันเอาคืน
3. กลาสโกว์ เซลติก - กลาสโกว์ เรนเจอร์ส
ในสกอตแลนด์ มีดาร์บี้แมตช์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปได้แก่ ''โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้แมตช์'' ระหว่าง กลาสโกว์ เซลติก และ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เมื่อใดที่ลงสนามปะทะกัน มักจะดุเดือดเลือดพล่านกันทั้งนักเตะและกองเชียร์ เนื่องด้วยทั้งคู่ต่างเป็นคู่แข่งในการแย่งแชมป์ลีกกันมาอย่างยาวนาน และยังมีความขัดแย้งในเรื่องของศาสนาระหว่างทั้ง 2ทีม และถึงแม้ตอนนี้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส จะถูกโหวตให้ออกจากการแข่งขัน สกอตติช พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลปัจจุบัน จากปัญหาทางด้านการเงินของสโมสร แต่เชื่อเถอะว่า หากทั้ง 2 ทีมได้โคจรมาพบกันอีก ''โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้แมตช์'' จะร้อนระอุ เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน
4. ลิเวอร์พูล - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ศึกแดงเดือด ต้องถูกจัดเข้ามาอยู่ในทำเนียบคู่รักคู้แค้นอย่างไม่ต้องสงสัย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน อาจมีบ้างที่ออกอาการเป๋ พลาดแชมป์ไปในบางฤดูกาล แต่พวกเขาก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้ในปีต่อมา ต่างกับลิเวอร์พูล ที่มาตรฐานตกลงไปมากจากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นทีม ''เครื่องจักรสีแดง'' เมื่อยุค 90 ที่ผ่านมา ถึงแม้จะคว้าแชมป์บอลถ้วยได้บ้าง แต่กับแชมป์ลีกที่พวกเขาปรารถนาไม่สามารถคว้ามาครองได้เลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปแล้วกี่คนต่อกี่คน หลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกได้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990 หรือกว่า 22 ปีมาเเล้ว
แม้ลิเวอร์พูลอาจไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีต แต่หากทั้งสองทีมมีโอกาสโคจรมาพบกันเมื่อใด มักจะเป็นแมตช์ที่แฟนบอลทั่วโลกเฝ้าจับตาดู เพราะทั้งสองทีมต่างเป็นสโมสรที่มีแฟนบอลติดตามอย่างเหนียวเเน่น และเมื่อลงสนามปะทะกันเมื่อใด มักจะเป็นเกมที่ตื่นเต้นเร้าใจและมีเหตุการณ์ต่างๆ ให้พูดถึงตามมาเสมอ เช่น กรณีเหยียดผิวระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ กับ ปาทริซ เอวร่า เป็นต้น
5. อาแจ็กซ์ - เฟเยนูร์ด
ฟุตบอล เอเรดิวิชี่ ลีก ฮอลแลนด์ นั้นก็มีสโมสรคู่รักคู่แค้น ที่ต่างแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันในอดีต อาแจ็กซ์กับเฟเยนูร์ด สองทีมยักษ์ใหญ่ของลีกดัตช์ ซึ่งต่างเคยเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มาแล้วทั้งสองทีม อาแจ็กซ์ คว้าไป 3 สมัย ส่วน เฟเยนูร์ดคว้าไปได้ 1 สมัย ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้ง 2 ทีม ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกัน และถึงแม้ช่วงหลังผลงานของเฟเยนูร์ดจะดร็อปลงไปบ้าง แต่หากได้ลงสนามพบกันเมื่อไหร่มักเป็นเกมที่ตื่นเต้นเร้าใจเสมอ
6. เฟเนร์บาห์เช่ - กาลาตาซาราย
ความแค้นระหว่างทั้งสองสโมสร เกิดจากความขัดแย้งของแฟนบอลทั้งสองทีมที่ไม่ค่อยจะถูกขี้หน้ากันเท่าไหร่นัก โดยแฟนบอลมักจะแสดงเยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง เมื่อทีมของตนเองได้รับชัยชนะหรือประสบความสำเร็จ และเมื่อทั้งสองทีมต้องพบกันเมื่อใด มักจะมีเหตุการณวุ่นวายทั้งในและนอกสนาม เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ศึกในสนามดุเดือดแค่ไหน นอกสนามแฟนบอลก็ดุเดือดไม่แพ้กัน
7. โบคา จูเนียร์ - ริเวอร์ เพลท
ที่อาร์เจนตินา ทั้ง ริเวอร์ เพลท และ โบคา จูเนียร์ส ต่างเป็นทีมยักษ์ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ริเวอร์ เพลท ถูกมองว่าเป็นสโมสรที่มีชื่อชั้นสำหรับคนมีฐานะ แต่กับ โบคา จูเนียร์ส แล้วมันตรงกันข้าม เพราะแฟนบอลส่วนใหญ่ของสโมสรเป็นพวกชนชั้นแรงงาน แต่พวกเขาก็สนับสนุนทีมอย่างเหนียวแน่น จึงอาจเป็นสาเหตุของการเป็นอริของทั้งสองสโมสร
8. ลาซิโอ - โรม่า
ดาร์บี้แมตช์ที่ดุเดือดแห่งกรุงโรม ทั้งโรม่า และลาซิโอต่างเป็นทีมใหญ่ สองเสืออยู่ถ้ำเดียวกันคงจะยาก การพบกันของทั้งสองทีมมักจะสนุกเข้มข้นทุกครั้งไป บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นใบเหลืองใบแดงว่อนสนามกันเลยทีเดียว ด้านแฟนบอลของทั้งสองทีมก็ไม่แพ้กัน หลังจบดาร์บี้แมตช์เกือบทุกครั้งมักจะมีจราจลเล็กๆ เกิดขึ้นเสมอ จึงทำให้ดาร์บี้แห่งกรุงโรม ถูกมองว่าเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นและมีความรุนแรงมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว
9. อาร์เซน่อล - ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ทั้ง 2 สโมสรอยู่ในกรุงลอนดอน นับเป็นเพื่อนร่วมเมืองที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันเท่าไหร่นัก ''ปืนใหญ่'' อาร์เซน่อล อาจจะประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมมากกว่า แต่เมื่อใดที่พบกับสเปอร์ส แทบไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงลอนดอนของทั้งสองทีมนั้น มักจะฟาดแข้งกันได้อย่างสนุกเร้าใจ ต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครเป็นมาแบบนี้ทุกครั้งไป
สำหรับชนวนที่ทำให้ความเกลียดชังของทั้งสองทีม คงหนีไม่พ้นเรื่องของ โซล แคมป์เบลล์ เมื่อครั้งยังเป็นดาวรุ่งอยู่กับ ''ทีมไก่เดือยทอง'' แต่ปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสร แล้วย้ายไปร่วมทัพ ''เดอะ กันเนอร์ส'' โดยไร้ค่าตัว จึงทำให้แฟนบอลของสเปอร์สเกลียดชังในตัว บิ๊กโซล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นในยุคปัจจุบันความแค้นยิ่งทวีขึ้นเมื่อ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ เลือกที่จะย้ายออกจากทีม ''ปืนใหญ่'' ไปอยู่กับในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน อีกด้วย
10. ไกเซอร์ ชีฟส์ - ออร์แลนโด ไพเรตส์
ต้นเหตุแห่งความขัดแย้งของ สองทีมใหญ่แห่งแอฟริกาใต้ เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 เมื่อ นายไกเซอร์ โมแตง ซึ่งตอนนั้นเป็นกำลังหลักและเป็นแกนนำในการก่อตั้งทีมออร์แลนโด ไพเรตส์ ได้ตัดสินใจทิ้งทีมไปเล่นฟุตบอลลีกอาชีพในอเมริกาเหนือ กับทีมแอตแลนตา ชีฟส์ ต่อมาเขาได้กลับมายังแอฟริกาใต้ และพบว่าอดีตทีมของเขาอย่าง ออร์แลนโด ไพเรตส์ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่แฟนบอล จึงทำให้ นายไกเซอร์ โมแตง ตัดสินใจสร้างทีมใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า ไกเซอร์ XI ก่อนที่ต่อมา ทีมได้เล่นในลีกอาชีพจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ไกเซอร์ ชีฟส์ ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้ง สองทีมโคจรมาพบกันเมื่อไหร่ อารมณ์ร่วมของทั้งนักเตะและแฟนบอลมักจะมาแบบจัดเต็มเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.siamsport.co.th
24 เรื่องแปลก
1.นักถ้ำมองโครตสกปรก
เป็น ชาวอเมริกันแต่ไม่ระบุชื่อเพราะญาติขอร้อง อายุ 37 ปี อยู่เมืองเลล์ เกลด รัฐฟลอริดา อาชีพเพาะปลูก เมื่อเวลาว่างชายคนนี้จะมีอาชีพพิเศษคือชอบแอบมองสาวทำธุระโดยการตะเวณดูตาม สุขาทั่วเมือง และยิ่งมองยิ่งติดใจจงตัดสินใจแช่ในถังส้วมหลุมเพื่อมองเห็นสาวทำธุระจะๆ ตา(ส้วมเมืองนอกเขาเป็นแบบนี้) เผลิญสาวคนหนึ่งเขาทำธุระปล่อยทุ่นส่วนตัวเสร็จ แล้วบังเอิญไปเห็นอะไรไม่รู้มีตาสองตาของคนจึงแจ้งตำรวจ แล้วเจ้าถ้ำมองคนนั้นก็ถูกตำรวจเรียกรถเครนพร้อมตะขอเกี่ยวนักถ้ำมองออกจาก หลุม จากนั้นก็หย่อนลงบึงน้ำเสียเลย
2.แล้วใครจะมาแทน
นาง ซินเธีย บรวน ชาวออสซี่ ได้ปลดเกษียณอายุงาน 62 ปีลง ที่โรงงานผลิตยาแห่งหนึ่ง จากสถิตทำงาน 34 ปีเต็ม โดยงานที่เธอทำสุดภาคภูมิใจคือ เธอสูดดมกลิ่นตด หรือก้นผู้ป่วยโรคริดสีดวงถวาร เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ผลิดน้ำยาดับกลิ่นก้นและส่งใส่ว่าผลิตภัณฑ์เขาใช้ได้ กับผู้ป่วยหรือไม่
3. สถิตนี้ใครกล้าทำลาย
โด แนลด์ คิง วัย 38 ปี ชาวเมืองเคพทาวน์ ประเทศเซาธ์แอฟริกา เขามีสถิดอันดับโลกโครตภูมิใจคือ เขาเป็นสามีหรือผัวของสัตว์ตัวเมียไม่น้อยกว่า 600 ตัว โดยเมียสัตว์ของโดแนลด์มีทั้ง แพะ แกะ วัว ควาย ม้า หมา แมว แรด นกกระจอกเทศ ลามา ไฮยีน่า กวาง เต่าตะนุ ลิงชิมแปมซี กอริลล่า ตัวกินมด (โฮ้กล้ามั่วขนาดนี้เลยเรอะ)
4. อยากดัง
เลิฟ วีนี่ ดาราโนเนม ชาวลอนดอน ทำยังไงก็ไม่ดังเสียที วันหนึ่งเธอเข้าส้วมก็เกิดไอเดียสุดเจ๋ง เธอใช้เงินก้อนสุดท้ายทำอัมบั้มซีดี.ทันที โดยการอัดเสียงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องน้ำขณะที่ตนเองเข้าใช้ ไม่ว่าเสียงแปรงฟัน เสียงขุยเสลด เสียงฉี่ ตด หาวเรอ เสียงอึตกกระทบกับน้ำ ผลคืออัลบัมเธอขายดีมากกว่า30000 แผ่น และราคาแผ่นพอๆ กับแผ่นป๊อบฮิตเลยทีเดียว (ดังสมใจเลย)
5. ตายสุดซวยที่สุดในโลก
อัน นี้เคยออกข่าวแล้วนะ บีทรีส วิลเลียมสัน อายุ 77 ปี พลเมืองอาวุโสชาวอังกฤษ วันหนึ่งเธอออกไปทำสวนหลังบ้าน ขณะที่เธอทำงานเพลินขณะนั้นก็มีของเสียก้อนหนึ่งตกลงมาจากห้องน้ำเครื่องบิน พอดีช่วงนี้อากาศหนาวจัดทำให้ของเสีย(ขี้) จับก้อนน้ำแข็งจนโตเท่าผลส้มตกลงหัวอย่างรุนแรง เธอล้มลงเสียชีวิตทันที (เฮ้อ..ทำมั้ยซวยยังงี้)
6. แข่งกินของสัปดนชิงแชมป์โลก
การ แข่งนี้เกิดขึ้นที่ออสเตเลีย ชื่อรายการ ไอแซล อีท แอนนีธิง คอนเทสต์ แปลว่าฉันจะ แ ด ก ทุกอย่างที่ขวางหน้า ของที่กินมีทั้ง คอไก่สดๆ ฉี่วัว1ถ้วย หนอน ไส้เดือนสด ไขมันคน 1 ถ้วยที่ดูดมาจากคลีนิก (แวะ )
7. สั่งขี้มูลไกลที่สุดในโลก
โจ อานนี่ เมสัน สาวสวย หุ่นดี แต่พฤติกรรมสุดอนาถ เพราะเธอมีความสามารถพิเศษคือสั่งขี้มูกขนาดเท่าเม็ดถั่วแดงไกลถึง 151 ฟุต 3 นิ้วครึ่งขนาดเท่าสนามฟุตบอล (โอโห ซูดยอด)
8.แมวฉันอยู่ในจานเป็ด
มา ร์ซา ชาวนิวยอร์ก เสียใจมากที่แมวตัวโปรดชื่อ พัลซั่ม หายตัวไป เธอเศร้ามากจึงเดิมมาที่ภัตราคารจีน "xxx๊ดลัค ยู แฮป"สั่งเป็ดทอดมากินเพราะคิดว่าเธอจะคลายเศร้าได้ พอดีตอนที่เธอกินอาหารอย่างอร่อย ตำรวจ 3 นาย มาร้านพร้อมหมายค้นว่าร้านนี้ลักแมวลักหมามาปรุงอาหารขายแก่ลูกค้า......และ แล้วมาร์ชาก็ตามตำรวจไปดูในครัวแล้วก็เห็นหัวแมวของเธอแขวนกับตะขอ และพ่อครัวก็ยอมรับว่าเป็ดทอดที่เธอกินเป็นแมวของเธอเอง............... อร่อย
9. ฉี่ก็มีดี
นัก วิจัยชาติไหนก็ไม่รู้เ พากันตกตะลึงว่าฉี่นั้นมีดี โดยพบคุณสมบัติที่ว่ามีฤทธิ์คล้ายยากล่อมประสาท ทำให้คนรู้สึกสุขสบายและมีความสุข เมื่อเห็นดังนี้นักวิจัยเลยนำไปสกัดเป็นแคปซูลขายในราคา 5 ดอลลาร์เสียเลย
10.มนุษย์ตดตายอย่างสมศักดิ์ศรี
โจ นาธาน กริกส์ ชาวอังกฤษ เขาป่วยเป็นโรคประหลาด เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินย่อยอาหารและกล้ามเนื้อทำให้เกิดแก๊สในท้องและตด เป็นประจำทุกระยะ 11 วินาที อยู่ดีไม่ว่าดีนายคนนี้ดันมีภรรยาและอยู่ 19 ปีเต็ม มีหรือที่เธอจะทนได้ เธอเลยจับสามีขังไว้ในตู้เก็บผ้าแบบปิดมิดชิด ปล่อยให้สามีตดตั้งแต่เช้าจนเย็น และวันต่อมาภรรยาเขาก็ลองจุดไฟเหย่ไปดู ปรากฏว่าบ้านระเบิดพังเป็นแถบ ตายกันทั้งสามีภรรยา
...หากชาติมีจริง ขอให้เราทั้ง2เกิดมาคู่กัน...
11.นักเลียสิวสถิตโลก
นาง สาวแซลลี่ ดาลตัน อายุ 19 ปี เมืองโอ๊กแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เปิดอาชีพเป็นนักเลียสิว โดยใช้ลิ้นสะกิดสิวให้หัวออก เธอทำทั้งหัวดำ หัวช้าง และเธอทำมาตั้งแต่ปี 1942 จนอายุ 21 ปี เธอทำสถิตเลียสิวแก่ผู้คนรวม 5000 คน
12.อาหารชวนอ้วกที่สุดในโลก
วง การอาหารโลกต้องบันทึกสถิตว่าเป็นอาหารที่ขยะแขยงของโลกที่เคยมีบันทึกมา เหตุเกิดที่ภัตตาคาร "โอมาร์" ในกรุงอัสตันบูล ประเทศตุรกี มีอาหารชนิดหนึ่งชื่อ "ซุปเห็ด" ดังมากคนต่อเข้าคิวไปกินจนแน่นร้านทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งเกิดสงสัยว่าทำไมเนื้อเห็ดมันเหนียวผิดปกติกว่า วันอื่นๆ จึงมีการตรวจสอบ ผลปรากฏว่าแท้ที่จริงเนื้อเห็ดที่เหนียวๆ นั้น เป็นเนื้อผิวหนังที่ตาย ตัดออกจากปลายแขน ปลายขา คนป่วยโรคเรื้อนนั้นเอง.....อ้วก! (สงสัย...คงอร่อยน่าดู )
13.หมอพยาบาลหนีกระเจิง
เหตุ เกิดที่ห้องผ่าตัดแห่งหนึ่งในนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อแพทย์และพยาบาลดูดไขมันจากหน้าทาง(ไลโปซัคั่น) จากสาวอ้วนคนหนึ่งชื่อ มาร์ธ คีเนอร์ หนัก 975 ปอนด์ หรือ 442 กิโลกรัม ระหว่างที่ดูดจู่ๆ เครื่องดูดไขมันเกิดทำงานผิดพลาดแทนที่จะพ่นไขมันลงถุงกลับพ่นกระจายไปทั้ง ห้อง แพทย์ และพยาบาล ต้องวิ่งหนีอุตลุด
14.เรื่องน่าเศร้าของช่างตัดผมตาบอด
ซา มูเอล โครเจอร์ อายุ 55 ปี เป็นช่างตัดผมอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ตาบอดทั้งสองข้าง วันนั้นแก่เดินถือเก้าอี้สำหรับเด็กสำหรับนั่งตัดผม ขณะนั้นเขาเดินอยู่ริมถนนในเมืองแอตแลนต้า ด้วยความซวย ซามูเอลเกิดล้มหน้าคะมำลงกับพื้น บังเอิญมีหมามาขี้ไว้เกินบะเริ่ม ก้อนขี้หมานั้นเข้าปากเขาเต็มๆๆ.....อ้วก! (เฮ้อ...ซวย)
15.อาหารนี้ช่วยรอดชีวิต
ด. ช. ทอมมี่ กรีลีย์ อายุ 10 ขวบ อาศัยอยู่ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เขาเกิดมาพร้อมโรคแพ้อาหารทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนมแม่ ขนมก็แพ้ ถ้ากินเข้าไปจะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง แต่......มีอาหารอย่างหนึ่งที่ทอมมี่กินแล้วไม่อ้วก และสามารถเจริญเติบโตได้อย่างแข็งแรง นั้นคือขี้มูลเหลวๆ จากปากหรือจมูกเด็กๆ นั้นเอง
16.มนุษย์ปืนใหญ่ลงผิดที่
โร เจอร์ เคนนีย์ เป็นนักแสดงผาดโผนเสี่ยงตาย เป็นมนุษย์ปืนใหญ่ยิงจากปากกระบอกปืนไปไกลถึง 100 ฟุต แล้วตกไปจุดที่คำนวณไว้อย่างแม่นยำ ครั้งหนึ่งในการแสดง เกิดความผิดพลาดจากแรงอัดกระบอกปืนทำให้ร่างเขาลอยพ้นตาข่าย และเวลานั้นช้างกำลังขี้พอดี หนาของโรเจอร์จึงพุ่งเข้าตูดช้างอย่างแม่นยำ (เจ๋งเป้ง...แม่นเปะ)
17.มนุษย์งู
เรื่อง นี้เคยออกข่าวมาแล้วช่อง 3 บรูโน่ โทรลอคซี่ ชาวอิตาลี กำลังฝึกฝนสมาธิแบบชาวตะวันออก วันๆ ไม่ทำการอะไร เอาแต่เล่นโยคะ อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกว่าลิ้นของเขามันใหญ่ไป คับปากคับคอ เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิเขาจึงใจกรรไกลคมๆ อ้าปากอาๆๆ แล้วตัดฉับลิ้นแยกเป็น 2 แฉก จบ..............
18.ศิลปิน
เน็ด โทเลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินสุดเพี้ยน แต่งานเขานั้นสวยงาม ตระการตา ความสัปดนเขาเริ่มขึ้นเมื่อเมียคลอดแฝด 3 ออกมา ด้วยความแป็นศิลปิน เขาเอาผ้าออมแบบใช้แล้วของเด็กแฝดมาจัดการคลุกเคล้ากับขี้แล้วผสมอะไร บางอย่าง สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกประคำ เข็มกลัดติดเสื้อ กิ๊ปหนีบผม ฯลฯ
19.มนุษย์หมาป่า
โร เบิร์ต จอห์นสัน หรือ เฟ็ช เกิดพลัดหลงพ่อมากลางป่า ฝูงหมาป่ามาเห็นเข้าจึงเก็บไปเป็นลูก ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั้ง 10 ขวบ จึงได้รับการช่วยเหลือออกมาอยู่กับสังคมมนุษย์เหมือนเดิม แต่นิสัยของโรเบิร์ตยังแก้ไม่หาย แม้ปัจจุบันนี้ เขาจะโตแล้ว เป็นถึงผู้บริหารนักการธนาคาร แม้ในขณะประชุม เขายังขอเวลานอกเพื่อที่จะเข้าห้องส่วนตัว อาเจียนของเก่าออกมาใส่จานแล้วเลียกลับเข้าไปเหมือนเดิม
20.คนสกปรกที่สุดในโลก
วิ ลลี่ เครเมอร์ แห่งเมืองยูยีน รัฐโอเรกอน ได้รับฉายาว่า คุณขี้เปียก เนื่องจากเขาสะสมก้อนประหลาดกลิ่มเหม็นเน่า หนักกว่า 27 ปอนด์ไว้ห้องนั่งเล่นเขา ก้อนเหม็นนั้นมาจากสิ่งละอันพันละน้อยจากสะดือ รูหู จากรูจมูก ขี้ไคล ผสมด้วยน้ำอสุจิ
21.ภารโรงขี้เล่น
ใน ห้องแล้บทดลองทางโภชาการแห่งหนึ่ง ในเมืองแฟรค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อนักวิจัยกลับบ้านแล้ว ก็ถึงเวลาที่ภารโรงมาทำความสะอาด วันรุ่งขึ้นนักวิจัย เข้ามาภายในเพื่อเข้าทำงานต่อ แทนที่จะทำงานกับด่าพ่อล้อแม่เพราะถาดงานวิจัยเกิดสลับปนไปหมด พร้อมถาดใส่ใส้เอแคลร์กับราสเบอรี่ ได้มีถาดก้อนสำลีซับเลือดซับหนองมาแทนเพราะภารโรงขี้เล่นแท้ ๆ (เฮ้อ...ซวย)
22.ดิ่งพสุธาลงผิดที่
แค เธอรีน เดลาแพลนเต้ เป็นนักดิ่งพสุธาหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพ ครั้งหนึ่งเธอดิ่งพสุธา ปรากฏว่าถูกลมกรรโชกเลยเป้าหมายออกนอกเมืองนับเป็นไมล์ ๆ เธอบังคับร่มลงในแปลงปลูกผักแปลงหนึ่ง โดยหล่นตูมลงถังปุ๋ยหมักที่เปิดฝาจนขึ้นอืด อย่างสุด ๆ
(เย่ แม่นจัง )
23.ฆ่าตัวตายแบบสกปรก
เคนท์ เกรียร์ วัย 56 ปี ชาวอังกฤษ ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรังหลายปี ทำให้เขาหายใจลำบาก มีเสลดพัดคอตลอดเวลา ความจริงรักษาหาย แต่เขาบอกตัวเองว่า "อยู่ไปก็รกโลก" จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายแบบพิสดาร เขาเติมน้ำจนเต็มอ่างอาบน้ำเด็กก้มหน้าปล่อยให้เสลด น้ำมูก ปะแน่นรูจมูก 2 รู และบางส่วนปิดหลอดลม จนหน้าเขาซุกลงในอ่างน้ำ แล้วเขาก็ตายอย่างสมใจนึกเพระขาดอากาศหายใจ
24.จิตแพทย์ก็บ้าเป็น
เมื่อ ปี 1992 มีจิตแพทย์ผู้วชาญโรคจิตในผู้สูงอายุชาวอเมริกันนำเสนอวิธีการบำบัดโรคจิต แก่คนไข้ของตนเอง โดยให้คนไข้แก้ผ้าแล้วนอนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหมอก็แก้ผ้าจนล่อนจ้อนก้มหน้าใช้ลิ้นตัวเองเลียร่างกายคนป่วยจนทั่ว ตัว กว่าจะรู้ว่าจิตแพทย์คนนั้นเป็นบ้า ด้วยให้คนป่วยโรคจิตแหละมาบอกว่า "หมอเป็นบ้าไปแล้วเจ้าค่า"
เป็น ชาวอเมริกันแต่ไม่ระบุชื่อเพราะญาติขอร้อง อายุ 37 ปี อยู่เมืองเลล์ เกลด รัฐฟลอริดา อาชีพเพาะปลูก เมื่อเวลาว่างชายคนนี้จะมีอาชีพพิเศษคือชอบแอบมองสาวทำธุระโดยการตะเวณดูตาม สุขาทั่วเมือง และยิ่งมองยิ่งติดใจจงตัดสินใจแช่ในถังส้วมหลุมเพื่อมองเห็นสาวทำธุระจะๆ ตา(ส้วมเมืองนอกเขาเป็นแบบนี้) เผลิญสาวคนหนึ่งเขาทำธุระปล่อยทุ่นส่วนตัวเสร็จ แล้วบังเอิญไปเห็นอะไรไม่รู้มีตาสองตาของคนจึงแจ้งตำรวจ แล้วเจ้าถ้ำมองคนนั้นก็ถูกตำรวจเรียกรถเครนพร้อมตะขอเกี่ยวนักถ้ำมองออกจาก หลุม จากนั้นก็หย่อนลงบึงน้ำเสียเลย
2.แล้วใครจะมาแทน
นาง ซินเธีย บรวน ชาวออสซี่ ได้ปลดเกษียณอายุงาน 62 ปีลง ที่โรงงานผลิตยาแห่งหนึ่ง จากสถิตทำงาน 34 ปีเต็ม โดยงานที่เธอทำสุดภาคภูมิใจคือ เธอสูดดมกลิ่นตด หรือก้นผู้ป่วยโรคริดสีดวงถวาร เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ผลิดน้ำยาดับกลิ่นก้นและส่งใส่ว่าผลิตภัณฑ์เขาใช้ได้ กับผู้ป่วยหรือไม่
3. สถิตนี้ใครกล้าทำลาย
โด แนลด์ คิง วัย 38 ปี ชาวเมืองเคพทาวน์ ประเทศเซาธ์แอฟริกา เขามีสถิดอันดับโลกโครตภูมิใจคือ เขาเป็นสามีหรือผัวของสัตว์ตัวเมียไม่น้อยกว่า 600 ตัว โดยเมียสัตว์ของโดแนลด์มีทั้ง แพะ แกะ วัว ควาย ม้า หมา แมว แรด นกกระจอกเทศ ลามา ไฮยีน่า กวาง เต่าตะนุ ลิงชิมแปมซี กอริลล่า ตัวกินมด (โฮ้กล้ามั่วขนาดนี้เลยเรอะ)
4. อยากดัง
เลิฟ วีนี่ ดาราโนเนม ชาวลอนดอน ทำยังไงก็ไม่ดังเสียที วันหนึ่งเธอเข้าส้วมก็เกิดไอเดียสุดเจ๋ง เธอใช้เงินก้อนสุดท้ายทำอัมบั้มซีดี.ทันที โดยการอัดเสียงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องน้ำขณะที่ตนเองเข้าใช้ ไม่ว่าเสียงแปรงฟัน เสียงขุยเสลด เสียงฉี่ ตด หาวเรอ เสียงอึตกกระทบกับน้ำ ผลคืออัลบัมเธอขายดีมากกว่า30000 แผ่น และราคาแผ่นพอๆ กับแผ่นป๊อบฮิตเลยทีเดียว (ดังสมใจเลย)
5. ตายสุดซวยที่สุดในโลก
อัน นี้เคยออกข่าวแล้วนะ บีทรีส วิลเลียมสัน อายุ 77 ปี พลเมืองอาวุโสชาวอังกฤษ วันหนึ่งเธอออกไปทำสวนหลังบ้าน ขณะที่เธอทำงานเพลินขณะนั้นก็มีของเสียก้อนหนึ่งตกลงมาจากห้องน้ำเครื่องบิน พอดีช่วงนี้อากาศหนาวจัดทำให้ของเสีย(ขี้) จับก้อนน้ำแข็งจนโตเท่าผลส้มตกลงหัวอย่างรุนแรง เธอล้มลงเสียชีวิตทันที (เฮ้อ..ทำมั้ยซวยยังงี้)
6. แข่งกินของสัปดนชิงแชมป์โลก
การ แข่งนี้เกิดขึ้นที่ออสเตเลีย ชื่อรายการ ไอแซล อีท แอนนีธิง คอนเทสต์ แปลว่าฉันจะ แ ด ก ทุกอย่างที่ขวางหน้า ของที่กินมีทั้ง คอไก่สดๆ ฉี่วัว1ถ้วย หนอน ไส้เดือนสด ไขมันคน 1 ถ้วยที่ดูดมาจากคลีนิก (แวะ )
7. สั่งขี้มูลไกลที่สุดในโลก
โจ อานนี่ เมสัน สาวสวย หุ่นดี แต่พฤติกรรมสุดอนาถ เพราะเธอมีความสามารถพิเศษคือสั่งขี้มูกขนาดเท่าเม็ดถั่วแดงไกลถึง 151 ฟุต 3 นิ้วครึ่งขนาดเท่าสนามฟุตบอล (โอโห ซูดยอด)
8.แมวฉันอยู่ในจานเป็ด
มา ร์ซา ชาวนิวยอร์ก เสียใจมากที่แมวตัวโปรดชื่อ พัลซั่ม หายตัวไป เธอเศร้ามากจึงเดิมมาที่ภัตราคารจีน "xxx๊ดลัค ยู แฮป"สั่งเป็ดทอดมากินเพราะคิดว่าเธอจะคลายเศร้าได้ พอดีตอนที่เธอกินอาหารอย่างอร่อย ตำรวจ 3 นาย มาร้านพร้อมหมายค้นว่าร้านนี้ลักแมวลักหมามาปรุงอาหารขายแก่ลูกค้า......และ แล้วมาร์ชาก็ตามตำรวจไปดูในครัวแล้วก็เห็นหัวแมวของเธอแขวนกับตะขอ และพ่อครัวก็ยอมรับว่าเป็ดทอดที่เธอกินเป็นแมวของเธอเอง............... อร่อย
9. ฉี่ก็มีดี
นัก วิจัยชาติไหนก็ไม่รู้เ พากันตกตะลึงว่าฉี่นั้นมีดี โดยพบคุณสมบัติที่ว่ามีฤทธิ์คล้ายยากล่อมประสาท ทำให้คนรู้สึกสุขสบายและมีความสุข เมื่อเห็นดังนี้นักวิจัยเลยนำไปสกัดเป็นแคปซูลขายในราคา 5 ดอลลาร์เสียเลย
10.มนุษย์ตดตายอย่างสมศักดิ์ศรี
โจ นาธาน กริกส์ ชาวอังกฤษ เขาป่วยเป็นโรคประหลาด เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินย่อยอาหารและกล้ามเนื้อทำให้เกิดแก๊สในท้องและตด เป็นประจำทุกระยะ 11 วินาที อยู่ดีไม่ว่าดีนายคนนี้ดันมีภรรยาและอยู่ 19 ปีเต็ม มีหรือที่เธอจะทนได้ เธอเลยจับสามีขังไว้ในตู้เก็บผ้าแบบปิดมิดชิด ปล่อยให้สามีตดตั้งแต่เช้าจนเย็น และวันต่อมาภรรยาเขาก็ลองจุดไฟเหย่ไปดู ปรากฏว่าบ้านระเบิดพังเป็นแถบ ตายกันทั้งสามีภรรยา
...หากชาติมีจริง ขอให้เราทั้ง2เกิดมาคู่กัน...
11.นักเลียสิวสถิตโลก
นาง สาวแซลลี่ ดาลตัน อายุ 19 ปี เมืองโอ๊กแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เปิดอาชีพเป็นนักเลียสิว โดยใช้ลิ้นสะกิดสิวให้หัวออก เธอทำทั้งหัวดำ หัวช้าง และเธอทำมาตั้งแต่ปี 1942 จนอายุ 21 ปี เธอทำสถิตเลียสิวแก่ผู้คนรวม 5000 คน
12.อาหารชวนอ้วกที่สุดในโลก
วง การอาหารโลกต้องบันทึกสถิตว่าเป็นอาหารที่ขยะแขยงของโลกที่เคยมีบันทึกมา เหตุเกิดที่ภัตตาคาร "โอมาร์" ในกรุงอัสตันบูล ประเทศตุรกี มีอาหารชนิดหนึ่งชื่อ "ซุปเห็ด" ดังมากคนต่อเข้าคิวไปกินจนแน่นร้านทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งเกิดสงสัยว่าทำไมเนื้อเห็ดมันเหนียวผิดปกติกว่า วันอื่นๆ จึงมีการตรวจสอบ ผลปรากฏว่าแท้ที่จริงเนื้อเห็ดที่เหนียวๆ นั้น เป็นเนื้อผิวหนังที่ตาย ตัดออกจากปลายแขน ปลายขา คนป่วยโรคเรื้อนนั้นเอง.....อ้วก! (สงสัย...คงอร่อยน่าดู )
13.หมอพยาบาลหนีกระเจิง
เหตุ เกิดที่ห้องผ่าตัดแห่งหนึ่งในนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อแพทย์และพยาบาลดูดไขมันจากหน้าทาง(ไลโปซัคั่น) จากสาวอ้วนคนหนึ่งชื่อ มาร์ธ คีเนอร์ หนัก 975 ปอนด์ หรือ 442 กิโลกรัม ระหว่างที่ดูดจู่ๆ เครื่องดูดไขมันเกิดทำงานผิดพลาดแทนที่จะพ่นไขมันลงถุงกลับพ่นกระจายไปทั้ง ห้อง แพทย์ และพยาบาล ต้องวิ่งหนีอุตลุด
14.เรื่องน่าเศร้าของช่างตัดผมตาบอด
ซา มูเอล โครเจอร์ อายุ 55 ปี เป็นช่างตัดผมอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ตาบอดทั้งสองข้าง วันนั้นแก่เดินถือเก้าอี้สำหรับเด็กสำหรับนั่งตัดผม ขณะนั้นเขาเดินอยู่ริมถนนในเมืองแอตแลนต้า ด้วยความซวย ซามูเอลเกิดล้มหน้าคะมำลงกับพื้น บังเอิญมีหมามาขี้ไว้เกินบะเริ่ม ก้อนขี้หมานั้นเข้าปากเขาเต็มๆๆ.....อ้วก! (เฮ้อ...ซวย)
15.อาหารนี้ช่วยรอดชีวิต
ด. ช. ทอมมี่ กรีลีย์ อายุ 10 ขวบ อาศัยอยู่ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เขาเกิดมาพร้อมโรคแพ้อาหารทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนมแม่ ขนมก็แพ้ ถ้ากินเข้าไปจะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง แต่......มีอาหารอย่างหนึ่งที่ทอมมี่กินแล้วไม่อ้วก และสามารถเจริญเติบโตได้อย่างแข็งแรง นั้นคือขี้มูลเหลวๆ จากปากหรือจมูกเด็กๆ นั้นเอง
16.มนุษย์ปืนใหญ่ลงผิดที่
โร เจอร์ เคนนีย์ เป็นนักแสดงผาดโผนเสี่ยงตาย เป็นมนุษย์ปืนใหญ่ยิงจากปากกระบอกปืนไปไกลถึง 100 ฟุต แล้วตกไปจุดที่คำนวณไว้อย่างแม่นยำ ครั้งหนึ่งในการแสดง เกิดความผิดพลาดจากแรงอัดกระบอกปืนทำให้ร่างเขาลอยพ้นตาข่าย และเวลานั้นช้างกำลังขี้พอดี หนาของโรเจอร์จึงพุ่งเข้าตูดช้างอย่างแม่นยำ (เจ๋งเป้ง...แม่นเปะ)
17.มนุษย์งู
เรื่อง นี้เคยออกข่าวมาแล้วช่อง 3 บรูโน่ โทรลอคซี่ ชาวอิตาลี กำลังฝึกฝนสมาธิแบบชาวตะวันออก วันๆ ไม่ทำการอะไร เอาแต่เล่นโยคะ อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกว่าลิ้นของเขามันใหญ่ไป คับปากคับคอ เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิเขาจึงใจกรรไกลคมๆ อ้าปากอาๆๆ แล้วตัดฉับลิ้นแยกเป็น 2 แฉก จบ..............
18.ศิลปิน
เน็ด โทเลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินสุดเพี้ยน แต่งานเขานั้นสวยงาม ตระการตา ความสัปดนเขาเริ่มขึ้นเมื่อเมียคลอดแฝด 3 ออกมา ด้วยความแป็นศิลปิน เขาเอาผ้าออมแบบใช้แล้วของเด็กแฝดมาจัดการคลุกเคล้ากับขี้แล้วผสมอะไร บางอย่าง สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกประคำ เข็มกลัดติดเสื้อ กิ๊ปหนีบผม ฯลฯ
19.มนุษย์หมาป่า
โร เบิร์ต จอห์นสัน หรือ เฟ็ช เกิดพลัดหลงพ่อมากลางป่า ฝูงหมาป่ามาเห็นเข้าจึงเก็บไปเป็นลูก ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั้ง 10 ขวบ จึงได้รับการช่วยเหลือออกมาอยู่กับสังคมมนุษย์เหมือนเดิม แต่นิสัยของโรเบิร์ตยังแก้ไม่หาย แม้ปัจจุบันนี้ เขาจะโตแล้ว เป็นถึงผู้บริหารนักการธนาคาร แม้ในขณะประชุม เขายังขอเวลานอกเพื่อที่จะเข้าห้องส่วนตัว อาเจียนของเก่าออกมาใส่จานแล้วเลียกลับเข้าไปเหมือนเดิม
20.คนสกปรกที่สุดในโลก
วิ ลลี่ เครเมอร์ แห่งเมืองยูยีน รัฐโอเรกอน ได้รับฉายาว่า คุณขี้เปียก เนื่องจากเขาสะสมก้อนประหลาดกลิ่มเหม็นเน่า หนักกว่า 27 ปอนด์ไว้ห้องนั่งเล่นเขา ก้อนเหม็นนั้นมาจากสิ่งละอันพันละน้อยจากสะดือ รูหู จากรูจมูก ขี้ไคล ผสมด้วยน้ำอสุจิ
21.ภารโรงขี้เล่น
ใน ห้องแล้บทดลองทางโภชาการแห่งหนึ่ง ในเมืองแฟรค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อนักวิจัยกลับบ้านแล้ว ก็ถึงเวลาที่ภารโรงมาทำความสะอาด วันรุ่งขึ้นนักวิจัย เข้ามาภายในเพื่อเข้าทำงานต่อ แทนที่จะทำงานกับด่าพ่อล้อแม่เพราะถาดงานวิจัยเกิดสลับปนไปหมด พร้อมถาดใส่ใส้เอแคลร์กับราสเบอรี่ ได้มีถาดก้อนสำลีซับเลือดซับหนองมาแทนเพราะภารโรงขี้เล่นแท้ ๆ (เฮ้อ...ซวย)
22.ดิ่งพสุธาลงผิดที่
แค เธอรีน เดลาแพลนเต้ เป็นนักดิ่งพสุธาหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพ ครั้งหนึ่งเธอดิ่งพสุธา ปรากฏว่าถูกลมกรรโชกเลยเป้าหมายออกนอกเมืองนับเป็นไมล์ ๆ เธอบังคับร่มลงในแปลงปลูกผักแปลงหนึ่ง โดยหล่นตูมลงถังปุ๋ยหมักที่เปิดฝาจนขึ้นอืด อย่างสุด ๆ
(เย่ แม่นจัง )
23.ฆ่าตัวตายแบบสกปรก
เคนท์ เกรียร์ วัย 56 ปี ชาวอังกฤษ ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรังหลายปี ทำให้เขาหายใจลำบาก มีเสลดพัดคอตลอดเวลา ความจริงรักษาหาย แต่เขาบอกตัวเองว่า "อยู่ไปก็รกโลก" จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายแบบพิสดาร เขาเติมน้ำจนเต็มอ่างอาบน้ำเด็กก้มหน้าปล่อยให้เสลด น้ำมูก ปะแน่นรูจมูก 2 รู และบางส่วนปิดหลอดลม จนหน้าเขาซุกลงในอ่างน้ำ แล้วเขาก็ตายอย่างสมใจนึกเพระขาดอากาศหายใจ
24.จิตแพทย์ก็บ้าเป็น
เมื่อ ปี 1992 มีจิตแพทย์ผู้วชาญโรคจิตในผู้สูงอายุชาวอเมริกันนำเสนอวิธีการบำบัดโรคจิต แก่คนไข้ของตนเอง โดยให้คนไข้แก้ผ้าแล้วนอนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหมอก็แก้ผ้าจนล่อนจ้อนก้มหน้าใช้ลิ้นตัวเองเลียร่างกายคนป่วยจนทั่ว ตัว กว่าจะรู้ว่าจิตแพทย์คนนั้นเป็นบ้า ด้วยให้คนป่วยโรคจิตแหละมาบอกว่า "หมอเป็นบ้าไปแล้วเจ้าค่า"
ที่มา เด็กดี.คอม
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ www.urrac.com/rangsit
ส่งมาเรียน by MOVING IMAGE
โปรดิวเซอร์ พิริยะ ทองสอน
ผู้กำกับ อรุณกร พิค
ผู้กำกับภาพ นพดล ขันธ์รัตน์
ติดตามผลงาน ทีม Moving Image ได้ที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/movingimagej...
Instagram 4.0 เพิ่มความสามารถใหม่ถ่ายวิดีโอสั้น ๆ 15 วินาที

Instagram เอาใจคนชอบถ่ายคลิปวิดีโอแบบสั้น ๆ ด้วยการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่บน Instagram 4.0 ทั้งเวอร์ชั่น
iOS และ Android เพิ่มความสามารถถ่ายวิดีโอสั้นความยาว 15 วินาที พร้อมใส่ฟิลเตอร์ตกแต่งวิดีโอได้เหมือน
กับการแต่งภาพ สำหรับการอัพวิดีโอผู้ใช้สามารถเลือกอัดเป็นช่วง ๆ ตามเหตุการณ์ที่ต้องการได้ โดยกดปุ่มอัด
ค้างไว้ เมื่อปล่อยปุ่มก็จะหยุดบันทึกวิดีโอที่ได้จะมีความยาวรวมกันไม่เกิน 15 วินาที ส่วนฟิลเตอร์ที่ใช้สำหรับ
แต่งวิดีโอมีมาให้ 13 ฟิลเตอร์ ชมภาพตัวอย่าง Instagram 4.0 ด้านในครับ
iOS และ Android เพิ่มความสามารถถ่ายวิดีโอสั้นความยาว 15 วินาที พร้อมใส่ฟิลเตอร์ตกแต่งวิดีโอได้เหมือน
กับการแต่งภาพ สำหรับการอัพวิดีโอผู้ใช้สามารถเลือกอัดเป็นช่วง ๆ ตามเหตุการณ์ที่ต้องการได้ โดยกดปุ่มอัด
ค้างไว้ เมื่อปล่อยปุ่มก็จะหยุดบันทึกวิดีโอที่ได้จะมีความยาวรวมกันไม่เกิน 15 วินาที ส่วนฟิลเตอร์ที่ใช้สำหรับ
แต่งวิดีโอมีมาให้ 13 ฟิลเตอร์ ชมภาพตัวอย่าง Instagram 4.0 ด้านในครับ




10 อันดับ บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
10 อันดับ บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
การ
ฟอกเงินหมายถึง
การปรับเปลี่ยนเงินทองหรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย
โดยตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่
เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงินแต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลาย
เศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
10. Semion Yudkovich Mogilevich
Semion
Yudkovich Mogilevich(1946-ปัจจุบันอายุ 64 ปี) เขาเกิดในยูเครน
ในชนชั้นกลางของชาวยิว อายุ 22 ปีเขาก็จบปริญญาเศรษฐศาสตร์
ก่อนที่จะก่ออาชญากรรมในปี 1975 และมีส่วนร่วมในการลักขโมยและฉ้อโกงหลายคดี
จนกระทั้งเขาได้
กลาย
เป็นมาเฟียรัสเซียที่มีวงเงินมากที่สุดในโลก จนได้ชื่อเล่นว่า
“ดอนหัวใส(The Brainy Don)” เพราะความเฉียบแหลมในธุรกิจของเขา
เขาสามารถทำธุรกิจน้ำมันหนีภาษี, ซุกหุ้น, ตลาดมืด
ส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่รับจ้างฆ่าไปจนถึงค้าอาวุธเถื่อน
ตั้งแต่
ไม้จิ้มฟันไป จนถึงส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้เขายังมีอีกฉายาหนึ่งว่า “นักก่อการประท้วงที่อันตรายที่สุดในโลก”
ที่อังกฤษห้ามให้เข้าประเทศด้วยเหตุผลคือ
“เขาเป็นชายที่อันตรายที่สุดในโลก” จนทำให้เขาเคยติดอยู่ใน
บุคคล
ที่โลกต้องการตัวมากที่สุด(ใน10 อันดับของเอฟบีไอ)
เขาเคยถูกจับตัวหลายครั้ง
แต่เพราะว่าเขาฉลาดทำให้ไม่มีใครเอาผิดเขาในกฎหมายได้
ทุกวันนี้เขาไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
9. Meyer Lansky
เม
เยอร์(1902-1983)เป็นชาวยิวเชื้อ สายอเมริกัน เกิดในครอบครัวโปแลนด์
เขาวงการอาชญากรรมตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเรียนรู้กลโกงต่างๆ จนได้รับฉายาว่า
“นักบัญชีแห่งความวุ่นวาย(Mob's Accountant)”
ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าพ่อฟอกเงินสมัย ใหม่ ในทศวรรษที่ 1930
เขาเป็นคนแรกในทะเลคาริเบียนที่ซ่อนเงินทางอาชญากรรมโดยการฟอกเงินผ่านคาสิ
โนในลาสเวกัสก่อนที่จะย้ายไปคิวบาซึ่งเขาดูแลการสัมปทานการพนันที่นั้น
ทั้งชีวิตของเขามีเงินนับไม่ถ้วนในธนาคารสวิสและบริษัท ในฮ่องกง,
อิสราเอลและอเมริกาใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์ช่องว่างจากฎหมาย
รวมถึงการยืดหยุ่นจากรัฐบาลเจ้าหน้าที่ข้าราชการและมาเฟียอิตาลี
และเขาก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เอฟบีไอพยายามนำตัวเขามาเพื่อ รับโทษตามกฎหมายโดยเชื่อว่าเขาซุกเงินกว่า
300 ล้านเหรียญไว้ในธนาคารเงินฝากหากแต่พวกเขาไม่เคยพบจำนวนเงินดังกล่าวเลย
เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์
หลายเรื่อง ล่าสุดคือ The Lost City (2005)
8. Al Capone
อัล
คาโปน(1899-1947)
เขาเป็นนักธุรกิจและหัวหน้ามาเฟียอันธพาลแห่งชิคาโกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่
กล้าแตะต้อง อดีตเขาเคยเป็นช่างตัดผลในครอบครัวชาวอิตาลีอพยพ
เขาเลิกเรียนหนังสือแล้วเข้ามาอยู่ในวงจรอาชญากรรม ก่อนที่จะไต่เต้ามา
เป็นมาเฟียอย่างเต็มตัว
เขามีประวัติอาชญากรรมหนากว่าพันหน้าแต่ก็ไม่ใครใครเอาผิดเขาได้
โดยเฉพาะการฟอกเงินจากงานผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการค้าเหล้าเถื่อน โสเภณี
การพนัน จนกระทั้งเขาถูกจำคุกเจ็ดปีในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีและถูก
ส่งตัวไปขังคุกในอัล คาทราช เป็นอันสิ้นสุดยุคของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในช่วงปั่นปลายเขาป่วยเป็นโรคซิลิสและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1947
7. Sani Abacha
นาย
พล สานิ อาบาชา(1943-1998)
เป็นผู้นำทางการทหารและนักการเมืองของไนจีเรียในปี 1993
ด้วยระบบการปกครองเผด็จการอันฉาวโฉ่ของเขาในช่วง 5 ปี(1993-1998)
เขาและครอบครัวได้สูบเงินจากเงินกองทุนของประเทศกว่า 3 ล้านปอนด์
จนได้รับการจดบันทึกว่าเป็นผู้นำที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับต้นๆ
ของโลก(อันดับ 4) โดยเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชน
โกงน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในประเทศ
อย่างไรก็ตามเขาตายด้วยโรคหัวใจวายในปี1998 รวมอายุ 54 ปี และ
ถูกฝังทันทีโดยไม่ต้องชันสูตรใดๆ
(ตามกฎมุสลิม)ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าเขาได้รับพิษ รู้ไปก็เท่านั้น
ทำไมต้องธนาคารสวิส
ทำไมธนาคารสวิสจึงเป็นแหล่งฝากเงินของผู้มีอำนาจในหลายประเทศ
ที่มักนำเงินมาฟออกและฝากธนาคารแห่งนี้ลับๆ สาเหตุเนื่องมาจากธนาคารสวิส
ในนครซูริกนั้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นที่ตั้งของธนาคารนานาชาติ มีธนาคารใหญ่ห้าอันดับแรกของประเทศ
และมีธนาคารที่นั่นมีชื่อเสียงในการเก็บความลับ ยากที่จะทำให้
เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือแม้แต่ รัฐบาลต่างประเทศตรวจสอบได้
ยกเว้นถ้ามีหมายศาลของตรวจสอบบัญชี
6. Sese Seko Mobutu
โม
บูตู เซเซ เซโก (1930-1997)
ได้สถาปนาการปกครองระบอบเผด็จการภายใต้ชื่อสาธารณรัฐคองโกที่ 2
เขาปกครองคองโก(หรือเรียกว่าซาอีร์ตั้งแต่ 1965-1997
เขาถือกำเนิดจากแม่ที่หนีมาจากการถูกทำหญิงในฮาเร็มของหัวหน้าหมู่บ้านท้อง
ถิ่น แล้วมาทำงานในบ้านผู้พิพากษาชาวเบลเยียม
และภรรยาของผู้พิพากษาชอบเขาเลยได้สอนเขาพูดและอ่านจนคล่องแคล่วและได้รับ
การศึกษา เขานำความรู้นี้มาใช้กับการเมืองคองโกจัดตั้งกองทหาร
และมันก็ได้ทำให้เขาสามารถยึดอำนาจจากรัฐ ประหารได้ในปี 1965
แต่กระนั้นเมื่อผู้นำประเทศแล้วเขากลับห้ามวัฒนธรรมตะวันตก
เขายกเลิกเครื่องแต่งกายที่เป็นตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตกต่างๆ
เขาเปลี่ยนธงของคองโกใหม่ และตั้งกฎหลายอย่างเพื่อทำลายศัตรูการเมืองของเขา
นอก จากนั้นเขายังฟอกเงินจนติดอันดับบุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับสาม
เป็นเงินกว่า 5000000000 ดอลลาร์ และเงินดังกล่าวไม่ได้รับกลับคืน
ท่ามกลางประเทศที่ยากจนข้นแค้นเขากลับไปช้อปปิ้งที่ปารีสกับครอบครัว
เขาตายจากการถูกเนรเทศใน โมร็อกโกในปี 1997
5. Leopold II of Belgium
สมเด็จ
พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ของเบลเยียม ในช่วง 1865-1909
ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาล เขาได้สร้างรัฐอิสระคองโก
มาครอบครองเป็นส่วนบุคคล ในปี 1885
พระองค์ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชและผู้มีบุญคุณมาปกครอง
ประเทศเขาปิดพรมแดนทั้ง หมดเพื่อควบคุมตัวบุคคลและธุริกจทั้งหมดในประเทศ
และทำให้ประเทศเป็นตลอดค้าแรงงานทาสที่โหดร้ายที่สุดในโลก
เขาทำกำไรมหาศาลจาก ยางและงาช้างในภูมิภาคแอฟริกา(ในปี 1890
คองโกเป็นผู้จำหน่ายยางที่ ใหญ่ที่สุดในโลก)
เขาถือหุ้นหลายบริษัทและนำเงินมาพัฒนาประเทศเบลเยี่ยม ในขณะที่
ชาวคองโกเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคนเพราะทำงานหนักจนตาย จนกระทั้งในปี 1907
พระองค์ได้ถูกบังคับให้สละการควบคุมประเทศให้แก่รัฐบาลเบลเยี่ยม
แต่สำหรับคองโกนั้นพวกเขากลับได้รับผลเสียที่ยากจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้จน
ถึงปัจจุบันเพราะจำนวนเงินที่เสียหายให้แก่สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2
มีมูลค่า เท่ากับ ค่าGNP ของคองโกปัจจุบันสำหรับ 22 ปีขึ้นไป
4. Dawood Ibrahim
Dawood
Ibrahim (1955-??) เขาเป็นชาวอินเดียและผู้นำองค์กรอาชญากรรม “บริษัท D”
เขาเป็นจอมวายร้ายที่ตำรวจสากลและอินเดียต้องการตัวมากที่สุด
เขามีส่วนร่วมการก่ออาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นค้ายาเสพย์ติด
รับจ้างฆ่าที่ส่วนใหญ่มัก ดำเนินการในอินเดีย
นอกจากนี้เขายังมีข้อหาการก่อการร้ายที่วางระเบิดบอมเบย์ ในปี 1993,
และการปลอมแปลง ฯลฯ
นอกจากจะร่วมมือองค์กรอัลกออิดะห์แล้วเขายังมีพี่น้องที่เป็นมาเฟียอยู่ทั่ว
โลก ทุกวันนี้เขาได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่แพร่ ระบาดใน มาเลเซีย,
สิงคโปร์. ไทย. ศรีลังกา, เนปาล, ดูไบ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส
และหลายประเทศในแอฟริกา เขาติดอันดับ 10 บุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด
หากแต่ปัจจุบันยังไม่สามารถจับตัวเขาได้และไม่รู้เขาอยู่อยู่ที่ไหนแต่หลาย
คนเชื่อว่า เขาตายเพราะโรคหัวใจในขณะที่บางคนเชื่อเขายังมีชีวิตอยู่แถว
ปากีสถาน
3. Ferdinand Marcos
เฟอร์ดิ
นานท์ มาร์กอส(1917-1989)
อดีตทนายความที่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์
อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 31 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ.1965-1986
เขาเป็นประธานาธิบดีรูปหล่อ ฉลาดและเป็นนักวางแผนทำการคอรัปชั่นมาก
มายอย่างยากจับได้ยาก เขาใช้ความเป็นนักกฎหมาย
ใช้อำนาจและช่องโว่ในรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง สร้างสถานการณ์
ประกาศกฎอัยการศึก คุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ จำกัดสิทธิสื่อสารมวลชน
สถาปนาตนเองมีอำนาจสูงสุด สังหาร ศัตรูทางการเมือง
ทำให้ประชาชนในประเทศเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ด้วยโครงการต่างๆ
เอาผลประโยชน์ให้เพื่อนพ้องตระกูลมาร์กอสและบริวารผูกขาดอำนาจทั้งทางการ
เมืองและเศรษฐกิจ มั่งคั่งร่ำรวย ส่งผลทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ตกต่ำจน
ยากที่จะกลับมาแก้ไขได้ดั่งเดิมจนถึง ปัจจุบัน
นอกจากนี้เขายังฟอกเงินโดยซักรีดเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ผ่านกองทุนสาธารณะ
แล้วไปฝากที่สวิสและประเทศอื่นๆ
ผลสุดท้ายเขาก็พ้นจากตำแหน่งโดยการหลบหนีออกนอกประเทศ หลังการลุกฮือ
ของประชาชน เขาเสียชีวิตขณะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันทางการฟิลิปปินส์พยายามที่จะอายัดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาร์กอส
และดำเนินคดีในข้อหาใช้อิทธิพลคอรัปชั่น
ในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ (ถ้าจำไม่ผิดเขาติดอยู่ ในอันดับ 2
บุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมอันดับ 2 ของโลก) จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. Pablo Escobar
พา
โบล เอสโคบาร์(1949-1993)
เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบียและของโลก
ที่ผูกขาดการซื้อขายโคเคนถึง 80%ในโลก
และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์
ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 9,000,000,000 ดอลลาร์
เป็นคนที่ทำผิดทางอาญาที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่ามีในประวัติศาสตร์
เขารวยมากชนิดที่เรียกว่าที่บ้านของเขานั้นมีรถหรูมากมาย
ใช้คลังสินค้าเก็บเงิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผาเงิน 2
ล้านดอลลาร์เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นที่เท้าตอนทำ งาน
แต่เชื่อหรือไม่ว่าอดีตของพาโบลนั้น เขาเกิดในบ้านที่เป็นกระท่อม
ไม่มีทั้งน้ำและไฟใช้ เขามีนิสัยเกเรชอบแกล้งคนอื่นในโรงเรียน
แถมโดนจับข้อหาขโมยเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระโจมเข้าสู่วงการอาชญากรรม
เข้าส่งการขายโคเคน โดยเขา ได้ลักลอบโคเคนไปขายสหรัฐ
และมันก็ได้ทำเงินแก่เขาอย่างมหาศาลเอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของ
ชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว
เขามักปรากฏตัวอย่างมีเอกลักษณ์ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น
เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้าง โรงเรียนและให้อาหาร
หากแต่ในขณะเดียวกันเขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน
และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี
แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพ
ของเขาหนุนหลังอยู่
เขาก็จบชีวิตตนเองลงอยากการปราบปรามของพวกคอมมานโดที่บุกพักกบดาลแล้วฆ่าเขา
และลูกน้อง เมื่อวันที่ วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993 จำนวนเงินที่ซักฟอก
ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
1. Suharto
ซู
ฮาร์โต้ (ค.ศ.1921 – 2008) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย
และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา 31 ปี
เขามีบทบาทสำคัญทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 1965 โดยการใช้นโยบายปราบปรามกอง
กำลังคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีรุนแรง
หลังจากมีความพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ
แต่กระนั้นเขาก็สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียในระหว่าง
ปี 1967-1998 เวลายาวนานถึง 32 ปี ในช่วงแรกที่เขาดำรงตำแหน่งเขาได้รับ
สมญาว่าเป็น "บิดาแห่งการพัฒนาประเทศ" ในยุค 1990"
เพราะเขาทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับฉายาว่า "แก๊งค์มาเฟียเบิร์กลีย์"
ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลของซูฮาร์โตที่ส่วนใหญ่เป็น ครอบครัวและญาติได้
ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมดส่งผลทำให้เขาและครอบครัวร่ำรวยขึ้นในขณะที่
ประชาชนในประเทศจนลง
อีกทั้งเขาได้กล่าวหาว่าเขาคือผู้ทุจริตคอรัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในอินโดฯ
และของโลกในเวลาเดียวกัน เขาติด
อันดับหนึ่งในผู้นำทำให้ชาติล่มจมที่สุดในโลก
โดยนิตยสารไทม์เชื่อว่าเขามีเงินที่ถูกซักฟอกในครอบครัวและธนาคารต่างประเทศ
มากกว่า 15,000,000,000
สหรัฐเช่นเดียวกับการใช้ตำแหน่งผู้นำทางการทหารออกนโยบายรุนแรงเพื่อปราบ
ปรามผู้ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลซูฮาร์โต
ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์, นักหนังสือพิมพ์
และนักวิชาการหลายรายที่เสียชีวิตและสูญหายไปในช่วงเวลาที่ซูฮาร์โตเรือง
อำนาจ และการใช้กำลังทหารเข้าสู้รบเพื่อปราบ
ปรามกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอีสต์ติมอร์
ก็มีส่วนทำให้ยุคของซูฮาร์โตถูกเรียกว่า "ยุคแห่งความหวาดกลัว"
ของชาวอินโดนีเซีย ตลอดระยะเวลา 32 ปีในฐานะผู้นำประเทศ
ซูฮาร์โตได้รับการสนับสนุนด้วยดี จนกระทั่งปี 1998 หลังจากที่เกิดภาวะ
วิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ซูฮาร์โตลาออกจากตำแหน่ง
พร้อมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการทหารอีก
หลังจากซูฮาร์โตลงจากตำแหน่ง
มีความพยายามจะนำตัวซูฮาร์โตและผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินการในชั้นศาล
เนื่องจากมีผู้กล่าวหา
ว่าเขาคือผู้ออกคำสั่งให้ฆ่าและลักพาตัวผู้คนจำนวนมาก ให้สูญหายไป
ในยุคที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ศาลอนุโลมให้ซูฮาร์โตไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อรับการพิจารณาคดี เนื่องจาก
"สุขภาพไม่แข็งแรง" ผลสุดท้ายซูฮาร์โต้ก็เสียชีวิตด้วยหัวใจล้ม เหลว
เมื่อปี 2008 ที่โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตา โดยปราศจากความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
จำนวนเงินที่ซักฟอก : US$15- US$35 billion.
การ
ฟอกเงินหมายถึง
การปรับเปลี่ยนเงินทองหรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย
โดยตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่
เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงินแต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลาย
เศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
10. Semion Yudkovich Mogilevich
Semion
Yudkovich Mogilevich(1946-ปัจจุบันอายุ 64 ปี) เขาเกิดในยูเครน
ในชนชั้นกลางของชาวยิว อายุ 22 ปีเขาก็จบปริญญาเศรษฐศาสตร์
ก่อนที่จะก่ออาชญากรรมในปี 1975 และมีส่วนร่วมในการลักขโมยและฉ้อโกงหลายคดี
จนกระทั้งเขาได้
กลาย
เป็นมาเฟียรัสเซียที่มีวงเงินมากที่สุดในโลก จนได้ชื่อเล่นว่า
“ดอนหัวใส(The Brainy Don)” เพราะความเฉียบแหลมในธุรกิจของเขา
เขาสามารถทำธุรกิจน้ำมันหนีภาษี, ซุกหุ้น, ตลาดมืด
ส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่รับจ้างฆ่าไปจนถึงค้าอาวุธเถื่อน
ตั้งแต่
ไม้จิ้มฟันไป จนถึงส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้เขายังมีอีกฉายาหนึ่งว่า “นักก่อการประท้วงที่อันตรายที่สุดในโลก”
ที่อังกฤษห้ามให้เข้าประเทศด้วยเหตุผลคือ
“เขาเป็นชายที่อันตรายที่สุดในโลก” จนทำให้เขาเคยติดอยู่ใน
บุคคล
ที่โลกต้องการตัวมากที่สุด(ใน10 อันดับของเอฟบีไอ)
เขาเคยถูกจับตัวหลายครั้ง
แต่เพราะว่าเขาฉลาดทำให้ไม่มีใครเอาผิดเขาในกฎหมายได้
ทุกวันนี้เขาไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด
9. Meyer Lansky
เม
เยอร์(1902-1983)เป็นชาวยิวเชื้อ สายอเมริกัน เกิดในครอบครัวโปแลนด์
เขาวงการอาชญากรรมตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเรียนรู้กลโกงต่างๆ จนได้รับฉายาว่า
“นักบัญชีแห่งความวุ่นวาย(Mob's Accountant)”
ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าพ่อฟอกเงินสมัย ใหม่ ในทศวรรษที่ 1930
เขาเป็นคนแรกในทะเลคาริเบียนที่ซ่อนเงินทางอาชญากรรมโดยการฟอกเงินผ่านคาสิ
โนในลาสเวกัสก่อนที่จะย้ายไปคิวบาซึ่งเขาดูแลการสัมปทานการพนันที่นั้น
ทั้งชีวิตของเขามีเงินนับไม่ถ้วนในธนาคารสวิสและบริษัท ในฮ่องกง,
อิสราเอลและอเมริกาใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์ช่องว่างจากฎหมาย
รวมถึงการยืดหยุ่นจากรัฐบาลเจ้าหน้าที่ข้าราชการและมาเฟียอิตาลี
และเขาก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เอฟบีไอพยายามนำตัวเขามาเพื่อ รับโทษตามกฎหมายโดยเชื่อว่าเขาซุกเงินกว่า
300 ล้านเหรียญไว้ในธนาคารเงินฝากหากแต่พวกเขาไม่เคยพบจำนวนเงินดังกล่าวเลย
เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์
หลายเรื่อง ล่าสุดคือ The Lost City (2005)
8. Al Capone
อัล
คาโปน(1899-1947)
เขาเป็นนักธุรกิจและหัวหน้ามาเฟียอันธพาลแห่งชิคาโกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่
กล้าแตะต้อง อดีตเขาเคยเป็นช่างตัดผลในครอบครัวชาวอิตาลีอพยพ
เขาเลิกเรียนหนังสือแล้วเข้ามาอยู่ในวงจรอาชญากรรม ก่อนที่จะไต่เต้ามา
เป็นมาเฟียอย่างเต็มตัว
เขามีประวัติอาชญากรรมหนากว่าพันหน้าแต่ก็ไม่ใครใครเอาผิดเขาได้
โดยเฉพาะการฟอกเงินจากงานผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการค้าเหล้าเถื่อน โสเภณี
การพนัน จนกระทั้งเขาถูกจำคุกเจ็ดปีในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีและถูก
ส่งตัวไปขังคุกในอัล คาทราช เป็นอันสิ้นสุดยุคของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในช่วงปั่นปลายเขาป่วยเป็นโรคซิลิสและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1947
7. Sani Abacha
นาย
พล สานิ อาบาชา(1943-1998)
เป็นผู้นำทางการทหารและนักการเมืองของไนจีเรียในปี 1993
ด้วยระบบการปกครองเผด็จการอันฉาวโฉ่ของเขาในช่วง 5 ปี(1993-1998)
เขาและครอบครัวได้สูบเงินจากเงินกองทุนของประเทศกว่า 3 ล้านปอนด์
จนได้รับการจดบันทึกว่าเป็นผู้นำที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับต้นๆ
ของโลก(อันดับ 4) โดยเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชน
โกงน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในประเทศ
อย่างไรก็ตามเขาตายด้วยโรคหัวใจวายในปี1998 รวมอายุ 54 ปี และ
ถูกฝังทันทีโดยไม่ต้องชันสูตรใดๆ
(ตามกฎมุสลิม)ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าเขาได้รับพิษ รู้ไปก็เท่านั้น
ทำไมต้องธนาคารสวิส
ทำไมธนาคารสวิสจึงเป็นแหล่งฝากเงินของผู้มีอำนาจในหลายประเทศ
ที่มักนำเงินมาฟออกและฝากธนาคารแห่งนี้ลับๆ สาเหตุเนื่องมาจากธนาคารสวิส
ในนครซูริกนั้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นที่ตั้งของธนาคารนานาชาติ มีธนาคารใหญ่ห้าอันดับแรกของประเทศ
และมีธนาคารที่นั่นมีชื่อเสียงในการเก็บความลับ ยากที่จะทำให้
เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือแม้แต่ รัฐบาลต่างประเทศตรวจสอบได้
ยกเว้นถ้ามีหมายศาลของตรวจสอบบัญชี
6. Sese Seko Mobutu
โม
บูตู เซเซ เซโก (1930-1997)
ได้สถาปนาการปกครองระบอบเผด็จการภายใต้ชื่อสาธารณรัฐคองโกที่ 2
เขาปกครองคองโก(หรือเรียกว่าซาอีร์ตั้งแต่ 1965-1997
เขาถือกำเนิดจากแม่ที่หนีมาจากการถูกทำหญิงในฮาเร็มของหัวหน้าหมู่บ้านท้อง
ถิ่น แล้วมาทำงานในบ้านผู้พิพากษาชาวเบลเยียม
และภรรยาของผู้พิพากษาชอบเขาเลยได้สอนเขาพูดและอ่านจนคล่องแคล่วและได้รับ
การศึกษา เขานำความรู้นี้มาใช้กับการเมืองคองโกจัดตั้งกองทหาร
และมันก็ได้ทำให้เขาสามารถยึดอำนาจจากรัฐ ประหารได้ในปี 1965
แต่กระนั้นเมื่อผู้นำประเทศแล้วเขากลับห้ามวัฒนธรรมตะวันตก
เขายกเลิกเครื่องแต่งกายที่เป็นตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตกต่างๆ
เขาเปลี่ยนธงของคองโกใหม่ และตั้งกฎหลายอย่างเพื่อทำลายศัตรูการเมืองของเขา
นอก จากนั้นเขายังฟอกเงินจนติดอันดับบุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับสาม
เป็นเงินกว่า 5000000000 ดอลลาร์ และเงินดังกล่าวไม่ได้รับกลับคืน
ท่ามกลางประเทศที่ยากจนข้นแค้นเขากลับไปช้อปปิ้งที่ปารีสกับครอบครัว
เขาตายจากการถูกเนรเทศใน โมร็อกโกในปี 1997
5. Leopold II of Belgium
สมเด็จ
พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ของเบลเยียม ในช่วง 1865-1909
ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาล เขาได้สร้างรัฐอิสระคองโก
มาครอบครองเป็นส่วนบุคคล ในปี 1885
พระองค์ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชและผู้มีบุญคุณมาปกครอง
ประเทศเขาปิดพรมแดนทั้ง หมดเพื่อควบคุมตัวบุคคลและธุริกจทั้งหมดในประเทศ
และทำให้ประเทศเป็นตลอดค้าแรงงานทาสที่โหดร้ายที่สุดในโลก
เขาทำกำไรมหาศาลจาก ยางและงาช้างในภูมิภาคแอฟริกา(ในปี 1890
คองโกเป็นผู้จำหน่ายยางที่ ใหญ่ที่สุดในโลก)
เขาถือหุ้นหลายบริษัทและนำเงินมาพัฒนาประเทศเบลเยี่ยม ในขณะที่
ชาวคองโกเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคนเพราะทำงานหนักจนตาย จนกระทั้งในปี 1907
พระองค์ได้ถูกบังคับให้สละการควบคุมประเทศให้แก่รัฐบาลเบลเยี่ยม
แต่สำหรับคองโกนั้นพวกเขากลับได้รับผลเสียที่ยากจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้จน
ถึงปัจจุบันเพราะจำนวนเงินที่เสียหายให้แก่สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2
มีมูลค่า เท่ากับ ค่าGNP ของคองโกปัจจุบันสำหรับ 22 ปีขึ้นไป
4. Dawood Ibrahim
Dawood
Ibrahim (1955-??) เขาเป็นชาวอินเดียและผู้นำองค์กรอาชญากรรม “บริษัท D”
เขาเป็นจอมวายร้ายที่ตำรวจสากลและอินเดียต้องการตัวมากที่สุด
เขามีส่วนร่วมการก่ออาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นค้ายาเสพย์ติด
รับจ้างฆ่าที่ส่วนใหญ่มัก ดำเนินการในอินเดีย
นอกจากนี้เขายังมีข้อหาการก่อการร้ายที่วางระเบิดบอมเบย์ ในปี 1993,
และการปลอมแปลง ฯลฯ
นอกจากจะร่วมมือองค์กรอัลกออิดะห์แล้วเขายังมีพี่น้องที่เป็นมาเฟียอยู่ทั่ว
โลก ทุกวันนี้เขาได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่แพร่ ระบาดใน มาเลเซีย,
สิงคโปร์. ไทย. ศรีลังกา, เนปาล, ดูไบ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส
และหลายประเทศในแอฟริกา เขาติดอันดับ 10 บุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด
หากแต่ปัจจุบันยังไม่สามารถจับตัวเขาได้และไม่รู้เขาอยู่อยู่ที่ไหนแต่หลาย
คนเชื่อว่า เขาตายเพราะโรคหัวใจในขณะที่บางคนเชื่อเขายังมีชีวิตอยู่แถว
ปากีสถาน
3. Ferdinand Marcos
เฟอร์ดิ
นานท์ มาร์กอส(1917-1989)
อดีตทนายความที่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์
อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 31 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ.1965-1986
เขาเป็นประธานาธิบดีรูปหล่อ ฉลาดและเป็นนักวางแผนทำการคอรัปชั่นมาก
มายอย่างยากจับได้ยาก เขาใช้ความเป็นนักกฎหมาย
ใช้อำนาจและช่องโว่ในรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง สร้างสถานการณ์
ประกาศกฎอัยการศึก คุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ จำกัดสิทธิสื่อสารมวลชน
สถาปนาตนเองมีอำนาจสูงสุด สังหาร ศัตรูทางการเมือง
ทำให้ประชาชนในประเทศเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ด้วยโครงการต่างๆ
เอาผลประโยชน์ให้เพื่อนพ้องตระกูลมาร์กอสและบริวารผูกขาดอำนาจทั้งทางการ
เมืองและเศรษฐกิจ มั่งคั่งร่ำรวย ส่งผลทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ตกต่ำจน
ยากที่จะกลับมาแก้ไขได้ดั่งเดิมจนถึง ปัจจุบัน
นอกจากนี้เขายังฟอกเงินโดยซักรีดเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ผ่านกองทุนสาธารณะ
แล้วไปฝากที่สวิสและประเทศอื่นๆ
ผลสุดท้ายเขาก็พ้นจากตำแหน่งโดยการหลบหนีออกนอกประเทศ หลังการลุกฮือ
ของประชาชน เขาเสียชีวิตขณะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันทางการฟิลิปปินส์พยายามที่จะอายัดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาร์กอส
และดำเนินคดีในข้อหาใช้อิทธิพลคอรัปชั่น
ในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ (ถ้าจำไม่ผิดเขาติดอยู่ ในอันดับ 2
บุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมอันดับ 2 ของโลก) จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. Pablo Escobar
พา
โบล เอสโคบาร์(1949-1993)
เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบียและของโลก
ที่ผูกขาดการซื้อขายโคเคนถึง 80%ในโลก
และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์
ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 9,000,000,000 ดอลลาร์
เป็นคนที่ทำผิดทางอาญาที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่ามีในประวัติศาสตร์
เขารวยมากชนิดที่เรียกว่าที่บ้านของเขานั้นมีรถหรูมากมาย
ใช้คลังสินค้าเก็บเงิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผาเงิน 2
ล้านดอลลาร์เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นที่เท้าตอนทำ งาน
แต่เชื่อหรือไม่ว่าอดีตของพาโบลนั้น เขาเกิดในบ้านที่เป็นกระท่อม
ไม่มีทั้งน้ำและไฟใช้ เขามีนิสัยเกเรชอบแกล้งคนอื่นในโรงเรียน
แถมโดนจับข้อหาขโมยเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระโจมเข้าสู่วงการอาชญากรรม
เข้าส่งการขายโคเคน โดยเขา ได้ลักลอบโคเคนไปขายสหรัฐ
และมันก็ได้ทำเงินแก่เขาอย่างมหาศาลเอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของ
ชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว
เขามักปรากฏตัวอย่างมีเอกลักษณ์ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น
เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้าง โรงเรียนและให้อาหาร
หากแต่ในขณะเดียวกันเขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน
และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี
แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพ
ของเขาหนุนหลังอยู่
เขาก็จบชีวิตตนเองลงอยากการปราบปรามของพวกคอมมานโดที่บุกพักกบดาลแล้วฆ่าเขา
และลูกน้อง เมื่อวันที่ วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993 จำนวนเงินที่ซักฟอก
ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
1. Suharto
ซู
ฮาร์โต้ (ค.ศ.1921 – 2008) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย
และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา 31 ปี
เขามีบทบาทสำคัญทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 1965 โดยการใช้นโยบายปราบปรามกอง
กำลังคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีรุนแรง
หลังจากมีความพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ
แต่กระนั้นเขาก็สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียในระหว่าง
ปี 1967-1998 เวลายาวนานถึง 32 ปี ในช่วงแรกที่เขาดำรงตำแหน่งเขาได้รับ
สมญาว่าเป็น "บิดาแห่งการพัฒนาประเทศ" ในยุค 1990"
เพราะเขาทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับฉายาว่า "แก๊งค์มาเฟียเบิร์กลีย์"
ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลของซูฮาร์โตที่ส่วนใหญ่เป็น ครอบครัวและญาติได้
ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมดส่งผลทำให้เขาและครอบครัวร่ำรวยขึ้นในขณะที่
ประชาชนในประเทศจนลง
อีกทั้งเขาได้กล่าวหาว่าเขาคือผู้ทุจริตคอรัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในอินโดฯ
และของโลกในเวลาเดียวกัน เขาติด
อันดับหนึ่งในผู้นำทำให้ชาติล่มจมที่สุดในโลก
โดยนิตยสารไทม์เชื่อว่าเขามีเงินที่ถูกซักฟอกในครอบครัวและธนาคารต่างประเทศ
มากกว่า 15,000,000,000
สหรัฐเช่นเดียวกับการใช้ตำแหน่งผู้นำทางการทหารออกนโยบายรุนแรงเพื่อปราบ
ปรามผู้ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลซูฮาร์โต
ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์, นักหนังสือพิมพ์
และนักวิชาการหลายรายที่เสียชีวิตและสูญหายไปในช่วงเวลาที่ซูฮาร์โตเรือง
อำนาจ และการใช้กำลังทหารเข้าสู้รบเพื่อปราบ
ปรามกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอีสต์ติมอร์
ก็มีส่วนทำให้ยุคของซูฮาร์โตถูกเรียกว่า "ยุคแห่งความหวาดกลัว"
ของชาวอินโดนีเซีย ตลอดระยะเวลา 32 ปีในฐานะผู้นำประเทศ
ซูฮาร์โตได้รับการสนับสนุนด้วยดี จนกระทั่งปี 1998 หลังจากที่เกิดภาวะ
วิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ซูฮาร์โตลาออกจากตำแหน่ง
พร้อมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการทหารอีก
หลังจากซูฮาร์โตลงจากตำแหน่ง
มีความพยายามจะนำตัวซูฮาร์โตและผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินการในชั้นศาล
เนื่องจากมีผู้กล่าวหา
ว่าเขาคือผู้ออกคำสั่งให้ฆ่าและลักพาตัวผู้คนจำนวนมาก ให้สูญหายไป
ในยุคที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ศาลอนุโลมให้ซูฮาร์โตไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อรับการพิจารณาคดี เนื่องจาก
"สุขภาพไม่แข็งแรง" ผลสุดท้ายซูฮาร์โต้ก็เสียชีวิตด้วยหัวใจล้ม เหลว
เมื่อปี 2008 ที่โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตา โดยปราศจากความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
จำนวนเงินที่ซักฟอก : US$15- US$35 billion.